TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2567/03/10

Wadi Rum "The Valley of the Moon" (นอนดูดาวและขี่อูฐที่ทะเลทรายวาดิรัม)

 วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566

เวลา 14:30 น.ใช้เวลาเดินทางจากเมืองอคาบามาถึงทะเลทรายวาดิรัมประมาณ 1 ชม. ระยะทาง 60 กม.

ภูเขานี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของทะเลทรายวาดิรัม

จอดรถด้านหน้าศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว

Wadi Rum Visitor Center
Entrance fees to Wadi Rum Protected Area : 5 JD

This is the main gateway to the protected area and has all information, restaurants and craft shops.

นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเสียค่าเข้าในเขตทะเลทรายวาดิรัมคนละ 5 JD

This center is located opposite the Seven Pillars of Wisdom mountain.

ด้านหลังคือภูเขา Seven Pillars of Wisdom เดินเข้าไปชมด้านในกันค่ะ

มีรถกระบะ 4x4 ให้บริการพาทัวร์ทะเลทราย โดยต้องจองที่ศูนย์บริการด้านหน้า

The private 4×4 vehicles tour need to register at the centre.

Mountain is a stunning,  that rises out from the red sand dunes of the desert. 

The Seven Pillars of Wisdom Mountain 
This unique rock was named after the famous book "The Seven Pillars of Wisdom:  A Triumph" 
written by Thomas Edward Lawrence, also known as Lawrence of Arabia, 
who spent considerable time in the region during World War I. 

ภูเขา Seven Pillars of Wisdom ตั้งชื่อตามชื่อหนังสือที่เขียนโดย T.E. Lawrence

The Seven Pillars of Wisdom is the largest and most famous rock formation in Wadi Rum. 
These seem like they're leaning and supporting each other.

The five pillars are clearly visible and the other two are tucked away around the corner.

ตัวภูเขาเป็นแท่งหินใหญ่ห้าอันพิงชิดกันส่วนอีกสองแท่งเล็กแยกมาอยู่ตรงมุมข้างๆ

ภูเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในทะเลทรายวาดิรัมเพราะมีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์

 The Seven Pillars is iconic in Wadi Rum.
It is the first major formation you will see as you approach the valley.

It is a popular hiking destination for visitors to Wadi Rum.

The Bedouin people in the area refer to the mountain as Jabbal Al Mazmar.

นักปีนเขาหลายคนนิยมมาปีนเขาลูกนี้เพื่อขึ้นไปชมวิวทะเลทรายจากด้านบน

ถ่ายรูปเสร็จเดินย้อนกลับมาดูของที่ระลึกตรงทางเข้า

เดินทางต่อไปยังที่พัก 

วิวภูเขาและทะเลทรายทั้งสองข้างทาง

เวลา 15:30 น. เดินทางมาถึงที่พักกลางทะเลทราย
Luxury Rum Magic Camp

จอดรถที่ลานจอดด้านนอกแล้วลากกระเป๋าเข้าไปด้านใน


ห้องน้ำส่วนกลางอยู่ตรงทางเข้า

ที่พักคืนนี้ตั้งอยู่กลางทะเลทรายวาดิรัม มีภูเขาหินสีแดงล้อมรอบ


เดินตามพนักงานเข้าไปเช็คอิน

เช็คอินที่เค้าท์เตอร์ รอรับกุญแจห้อง

มีบริการขึ้นบอลลูนชมทะเลทรายด้วยค่ะ

ที่พักมีแบบ Tent และ Dome ได้กุญแจแล้วไปห้องพักกันเลยค่ะ 

The Camp is the first in the region to offer such domes.
We will gaze at the magnificent moon and stars from your our comfortable bed.

วิวสวยๆด้านหน้าห้องพัก

"Martian Dome" 160 $ per night
Combining modern style living and comfort while still living the authentic desert experience.
 The Martian Domes offer the unique experience of combined luxury and authenticity. 

พวกเราได้ที่พักเป็นแบบโดมค่ะ เรียกว่า Martian Dome ตามชื่อภาพยนตร์อันโด่งดัง
ที่พักแบบนี้มีแค่ 20 หลัง ต้องจองล่วงหน้าเพราะจะเต็มเร็ว

ด้านในโดมกว้าง มีสองเตียงและเตียงเสริม ห้องน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ ตู้เย็น อุปกรณ์ครบค่ะ

ระเบียงชมวิวรอบๆโดม

ด้านล่างคือที่พักแบบ Bedouin Tent มีขนาดเล็กกว่าโดมแต่มีหลายหลัง

ที่พักล้อมรอบด้วยภูเขาและทะเลทราย ตอนนี้แดดจัดอากาศร้อนมากค่ะ

เก็บกระเป๋า เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็ออกไปเที่ยวทะเลทรายกันเลยค่ะ

พวกเราจองรถกระบะพาทัวร์ทะเลทรายไว้ตอนสี่โมงเย็น 

รถมาคอยที่ด้านหลังโรงแรมแล้ว

เวลา 16:00 น. นั่งรถกระบะออกไปชมทะเลทรายวาดิรัมกันค่ะ


Discover Wadi Rum Private 4WD : 20 JD 

มีฝุ่นทรายและแดดจัดมาก ต้องใส่แว่นตา หมวกและผ้าปิดจมูกด้วยค่ะ


พวกเรานั่งตรงกระบะหลังจะได้ซึมซับบรรยากาศทะเลทรายอย่างใกล้ชิด



มีโรงแรมที่พักกระจายอยู่ทั่วทะเลทราย ส่วนมากจะสร้างอยู่ใกล้ๆภูเขา

ที่พักส่วนมากเป็นเต๊นท์แบบชาวเบดูอิน


รถแต่ละคันขับตามกันไปตามรอยล้อบนทะเลทรายโดยไม่มีเส้นแนวถนน

 Wadi Rum was declared a protected area in1998 to safeguard its unique desert landscape,
and an intensive conservation programme is now underway.

ทะเลทรายวาดิรัมได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์คุ้มครองในปี ค.ศ.1998


ในทะเลทรายเต็มไปด้วยภูเขาหินแกรนิตและหินทราย


คนขับพาพวกเราไปยังจุดแรกซึ่งอยู่ด้านหลัง Seven Pillars of Wisdom 


เนินทรายขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังภูเขา


Sand dunes

Large area of sand dunes piled up behind the mountains.


ทรายสีแดงเม็ดละเอียดมาก 

Dunes are a unique phenomenon of nature.

Wadi Rum have tons of sand, plenty of wind, a choice in obstacles, hardly any rain, the dunes are form.

วาดิรัมมีเนินทรายหลายแห่ง ซึ่งเนินทรายเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ


The rock formations

ภูเขาหินมีรูปทรงและพื้นผิวแปลกประหลาด

Plants in arid Wadi Rum

ต้นไม้ในทะเลทรายมีเล็กเรียวเหมือนใบสน


Tourists climb to the top of sand dune.


ด้านหลังคือร้านขายของ






ขึ้นรถออกเดินทางไปยังจุดต่อไป

Huge mountains of sandstone and granite emerge, sheer-sided from wide sandy valleys.


Wadi Rum is covering 720 square kilometers of dramatic desert wilderness in the south of Jordan.  


ทะเลทรายวาดิรัมมีพื้นที่ 720 ตารางกิโลเมตร 


The Wadi Rum Protected Area has been a UNESCO World Heritage site since 2011.


วาดิรัมเป็นพื้นที่อนุรักษ์และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี ค.ศ.2011


Martian Domes

Traditional Bedouin camp protected by mountains.

A large vertical rock formation

โดมที่พักแบบนี้เป็นที่นิยมมากเพราะเหมือนในภาพยนตร์

Wadi Rum is a place that many of movie producers and directors have traveled to film because of its extraordinary desert landscapes, astonishing rock formations and beautiful red dunes. 

ความแปลกของภูมิประเทศทำให้วาดิรัมเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับดวงดาวนอกโลก
โดยเฉพาะเรื่อง Martian (2015) และ Star Wars

ด้านหน้าคือจุดท่องเที่ยวแห่งที่สอง "Siq Um al Tawaqi"

ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Lawrence of Arabia ในปี ค.ศ.1962

Siq Um al Tawaqi is a narrow canyon at the northern end of the Wadi Rum Protected Area. 

เดินเข้าไปชมด้านในกันค่ะ

Rock at the entrance of the canyon with carvings of the head of T.E.Lawrence and Prince Faisal.

Busto de Lawrence de Arabia
The famous historic characters popularised by the 1962 film. 
The inscriptions were created by a local Bedouin artist. 

ในสงครามอาหรับรีโวลท์ระหว่างปี ค.ศ.1916-1918 ทะเลทรายแห่งนี้ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการรบของ
นายทหารชาวอังกฤษ ทีอี ลอว์เรนซ์ และเจ้าชายไฟซาล ผู้นำชาวอาหรับเพื่อขับไล่พวกออตโตมัน

The inscriptions of Lawrence of Arabia and Prince Faisal.
Thomas Edward Lawrence also known as Lawrence of Arabia.

รูปสลักบนหินเป็นหน้าของ T.E.Lawrence โดยศิลปินชาวเบดูอิน ด้านล่างมีคำจารึกเป็นภาษาอาหรับ

T.E.Lawrence and Prince Faisal were active in the region in 1917-1918.

ด้านข้างเป็นรูปสลักใบหน้าของเจ้าชายไฟซาล

The inscriptions are surrounded by impressive cliffs and a narrow slot canyon. 


The canyon is picturesque with high red sandstone cliffs and white sand dunes. 

ด้านหลังคือช่องแคบและหน้าผาหินสีแดงสูงตระหง่าน

The tea house, shop and other amenities

เต๊นท์ด้านในเป็นร้านน้ำชาและร้านขายของ

The canyon’s large white sand dunes at the bases of the cliffs on its western side.

ฝั่งตรงข้ามมีเนินทรายสีขาวขนาดใหญ่อยู่ด้านล่างภูเขาสูง

The large sand dunes overflow into the valley and develop a deep soft sandy base.

The crevice off the side of the main canyon is directly across from a large sand dune.


เดินกลับไปที่รถเพื่อออกเดินทางต่อ

หน้าผาหินลวดลายธรรมชาติ


พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วค่ะ

คนขับพาพวกเราไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก


น้องอูฐเดินกลับบ้าน

ในหุบเขาเริ่มมืด

Wadi Rum also called "The Valley Of The Moon"

วาดิรัมมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษที่แปลว่า "หุบเขาแห่งดวงจันทร์"
 เพราะภูมิประเทศที่แปลกตา ผืนทรายสีแดงอมชมพู และภูเขาหินขรุขระรูปร่างประหลาด 

ภูเขาในทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกตา

เวลา 17:20 น. เดินทางมาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก

Wadi Rum Sunset Viewing Point

The best place to watch the sunset is from the top of the moutain or the sand dunes.

ปีนเขาขึ้นไปหาที่นั่งให้ตรงพระอาทิตย์เลยค่ะ

เวลา 17:30 น. พระอาทิตย์ก็เริ่มตกแล้วค่ะ


บางคนก็ยืนชมพระอาทิตย์ตกที่ลานกว้างด้านหน้า

พระอาทิตย์เริ่มลับขอบเขา สีสวยและดวงใหญ่มาก


Sunset hours at Wadi Rum
Winter (November - February): 16.30 to 17.30
Spring (March - May): 17.30 to 19.30
Summer (June - August): 19.00 to 19.30
Autumn (September - October): 17.00 to 19.00

แสงอาทิตย์ยามเย็นสะท้อนทำให้ทะเลทรายมีสีแดงมากขึ้น

พวกเรามาช่วงหน้าหนาวพระอาทิตย์จะตกเร็วค่ะ


นั่งชมแสงสุดท้ายของวันลับขอบเขา

พระอาทิตย์พอใกล้พื้นดวงยิ่งโตมาก

เก็บภาพหมู่เป็นที่ระลึก

ท้องฟ้าเริ่มมืด



นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางกลับ

บรรยากาศทะเลทรายดูเงียบสงบ


เวลา 17:40 น.พระอาทิตย์ก็ตก ลับขอบเขาแล้วค่ะ

ได้เวลาเดินทางกลับ


คบขับและไกด์รออยู่ที่รถ


เก็บภาพบรรยากาศรอบๆ

วาดิรัมถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในทะเลทรายที่สวยงามที่สุดของโลก


พื้นทรายสีส้มอมแดงเม็ดละเอียด

ขึ้นรถกลับที่พักค่ะ



พอพระอาทิตย์ตก อากาศก็เริ่มเย็น ลมแรงฝุ่นทรายปลิวเต็มหน้าจนต้องปิดแมสก์เลยค่ะ

Wadi Rum rock formations along with Bedouin camps

คาราวานอูฐก็พานักท่องเที่ยวกลับที่พัก


เวลา 18:00 น. กลับมาถึงที่พัก ทิปคนขับรถ คนละ 1 $

วันนี้ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการชมทะเลทราย แต่ยังมีจุดชมอีกหลายแห่งน่าจะต้องใช้เวลาเป็นวัน


เดินกลับห้องพัก

แท้งค์น้ำสำหรับใช้ในที่พักวางอยู่บนเขา

ผลกระบองเพชรทานได้


ตรงกลางมีเต๊นท์ใหญ่สำหรับจัดงานเลี้ยงและกิจกรรม

คืนนี้มีปาร์ตี้ด้วยค่ะ

น้องเหมียววิ่งเข้ามาเล่นกับพี่มป

ภูเขาลูกใหญ่ด้านหน้าห้องพัก

เก็บภาพกับโดมที่พักของพวกเราค่ะ

หลังคาโดมทำจากผ้าเต๊นท์หนาสองชั้นสีขาว ตอนนี้เป็นสีแดงจากฝุ่นทราย

ทางที่พักบอกว่าที่นี่เป็นโดมแห่งแรกของวาดิรัม ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ Martian (2015)

The dome-style tents is the epitome of  glamping.
They are known as "Martian Domes", "Star pods" or "Bubble Tents".

มีระเบียงส่วนตัวรอบๆโดม สำหรับนั่งเล่น ทานอาหาร ชมวิว

พอเปิดม่านก็จะมองเห็นวิวด้านนอกแบบ 180 องศา

อาบน้ำนอนพัก พอใกล้เวลาอาหารเย็นก็เดินไปที่ห้องอาหารค่ะ

"Zarb" the Bedouin barbecue
It is a traditional Bedouin style of cooking where marinated meat and vegetables are buried in an oven dug in sandy ground. This method allows the food to slow-cook in its juices.

คนเริ่มมายืนรอดูเมนูพิเศษของชาวเบดูอิน ตอนนี้ยังถูกฝังอยู่ในดิน
 Bedouins in the Arabian Peninsula cooked their food underground in earth ovens for centuries.

เวลา 19:30 น. ได้เวลาขุดดินเพื่อเอาอาหารที่สุกแล้วขึ้นมาทาน

 ใช้เวลาย่างในเตาใต้ดินประมาณ 2-3 ชม. พอขุดขึ้นมาไก่ย่างและแกะย่างหอมฉุยเลยค่ะ

Buffet Dinner with Local Bedouin Zarb : 18 $ per person.
(lamb and chicken)

เชฟจะเป็นคนหั่นเนื้อแจกแต่ละคนเลยค่ะ พวกเราก็เอาจานไปใส่ทานได้ไม่อั้น

คุณป๋าบอกว่าแกะย่างอร่อยเนื้อนุ่มมาก ทานกับน้ำจิ้มแจ่วแล้วเข้ากัน

ทานขนมหวานกันต่อ

พุดดิ้งข้าวและเยลลี่

ทานอาหารเสร็จก็ออกมาเดินเล่นรอบๆที่พัก


ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว


ท้องฟ้ายิ่งมืดก็เห็นดวงดาวมากขึ้น

เวลา 21:00 น. กลับห้องไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2566
เวลา 06:00 น.ตื่นเช้ามาเริ่มเห็นแสงอาทิตย์จากขอบฟ้าหน้าห้องพัก

ล้างหน้าแต่งตัวออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ

เดินไปที่ทะเลทรายด้านหลังที่พัก


ยืนรออูฐมารับค่ะ ชาวเบดูอินและอูฐจะพักอยู่ที่หมู่บ้านต้องใช้เวลาในการเดินมาที่นี่นานพอสมควร

เวลา 06:30 น. เช้านี้พวกเราจะขี่อูฐไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ ค่าขี่อูฐคนละ 20 $
อูฐจะนั่งให้พวกเราปีนขึ้นไปจนเรียบร้อยแล้วจะค่อยๆยืนทีละตัว

ชาวเบดูอินเป็นคนจูงอูฐ จะคอยดูแลพวกเราให้ขึ้นอูฐทีละคนโดยดูให้เหมาะสมกับขนาดอูฐ
 จัดท่านั่งให้สบาย รัดผ้ารองนั่งให้พอดี อูฐจะเชื่อฟังคนจูงมาก

พอขึ้นนั่งจนครบทุกคน คนจูงก็พาอูฐเดิน

เป็นการนั่งอูฐเป็นครั้งแรก นั่งสบายดีค่ะ รู้สึกว่าอูฐสูงมากและเดินช้าๆโคลงเคลงไปมา

อูฐจะเดินตามกลุ่มของมัน โดยจ่าฝูงจะเดินนำหน้า อูฐตัวเล็กเดินตามหลัง

Sunrise Camel Riding

Sunrise times in Wadi Rum
winter (November - February) and summer (June - August) at 06.00
Spring (March - May) and Autumn (September - October) at 05.30-06.30 

อูฐที่พวกเรานั่งเป็นสามตัวพ่อแม่ลูกเหมือนกัน เดินเรียงตามลำดับ

เวลา 06:50 น.เดินมาถึงจุดชมวิว อยู่ไม่ไกลจากที่พักค่ะ

อูฐจะค่อยๆนั่งโดยงอเข่าหน้าลงพื้นก่อนตามด้วยเข่าหลัง แล้วให้พวกเราลงจากหลัง

น้องนั่งเรียงกันเรียบร้อยมาก อูฐฝูงเดียวกันจะมีเชือกร้อยต่อกันทุกตัว

คนจูงจะนั่งเฝ้าและคอยดูแลอูฐ

เดินไปที่จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ


เนินทรายด้านหน้าเป็นลานกว้างเหมาะสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น

ยืนรอแสงอาทิตย์

ด้านหน้าภูเขามีที่พักด้วยค่ะ

หาลานกว้างๆไม่มีอะไรบัง จะได้เห็นพระอาทิตย์ชัดๆ

เริ่มมีแสงสีส้มๆตรงขอบฟ้า

เวลา 07:05 น.พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาจากขอบเขาแล้วค่ะ

Watch the sunrise over the Wadi Rum Desert.

เก็บภาพแสงแรกของวันใหม่เป็นที่ระลึก







ทรายสะท้อนแสงเป็นสีแดง

เป็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากที่สุด

The rising sun light up the Wadi Rum.


นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นจนเต็มดวง


อากาศตอนเช้าเย็นสบาย


เดินหามุมถ่ายภาพไปรอบๆ

ท้องฟ้าสว่างสดใส

เวลา 07:40 น. ได้เวลากลับที่พักแล้วค่ะ

เดินกลับไปขึ้นอูฐตัวเดิม

มปนั่งอูฐตัวเล็กที่อยู่ข้างหลังเหมือนเดิม


น้องอูฐพยายามจะงับเสื้อแม่ตุ๊ก สงสัยคิดว่าเป็นขนเหมือนกัน55

พอโดนคนจูงดุก็เลยหยุดงับ

คุณป๋ารอขึ้นคนสุดท้าย

ตรวจดูว่านั่งเรียบร้อย ถึงจะให้อูฐยืนค่ะ

อูฐทั้งสามตัวมีเชือกร้อยต่อกัน จะได้เดินไปด้วยกันตลอดเวลา

อูฐยืนเรียงลำดับตามความสูงเลยค่ะ

พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกัน


สามพ่อแม่ลูกทั้งคนและอูฐ

เป็นเช้าวันใหม่ที่มีความสุขมากอีกวันหนึ่ง


อูฐของคุณป๋ามีจุดสีส้มทั้งตัวน่ารักดี

ไกด์ของพวกเราแบกกล้องวิ่งตามถ่ายรูป 


The camel caravan trek across the Wadi Rum.


สองข้างทางเป็นแคมป์ที่พักมีทั้งแบบโดมและแบบเต๊นท์


ไกด์วิ่งตามเก็บภาพคาราวานอูฐให้ตลอดทาง


วิวสวยๆตลอดทาง



















เก็บภาพทะเลทรายกันไปตลอดทาง


ใกล้ถึงที่พักแล้ว

เวลาอูฐเดินจะรู้สึกโคลงเคลงนิดหน่อยเพราะอูฐตัวสูงมาก แม่ตุ๊กต้องจับอานไว้ตลอด

เวลา 08:00 น.กลับมาถึงที่พัก

สนุกสนานและประทับใจมาก

 คุณป๋าทิปคนจูงอูฐไป 10 $ เพราะดูแลพวกเราดีตลอดทริป

มปขอเก็บภาพกับน้องอูฐค่ะ


Camels and Martian Domes


อูฐจะอยู่กันเป็นครอบครัวไปด้วยกันทั้งฝูง




เดินกลับห้องพักค่ะ

มีน้องหมานอนเฝ้าตรงทางเข้า


อินทผารัมสดหวานดีค่ะ

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ไปทานอาหารเช้ากันค่ะ

เชฟทำออมเล็ตให้ทาน

เช้านี้ต้องทานเยอะนิดเพราะเราต้องเดินทางไกล

ทานอาหารเสร็จก็ไปเก็บกระเป๋าแล้วมาเช็คเอ้าท์

เก็บภาพบรรยากาศบริเวณที่พัก

Al.Diwan (ห้องประชุม)


ลานกิจกรรมลานใหญ่อยู่ตรงกลาง


ภูเขารูปร่างประหลาดล้อมรอบที่พัก


เวลา 09:00 น.ออกเดินทางกันต่อค่ะ


ภูเขารูปทรงเหมือนเห็ด


Bye-bye Wadi Rum