วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566
ตื่นเช้ามาอากาศด้านนอกเย็นสบายมากค่ะ อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารด้านล่าง
อาหารเช้าเป็นบุฟเฟ่ต์ค่ะ ในห้องอาหารมีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเยอะมาก
รูปภาพของกษัตริย์จอร์แดนทั้งสามพระองค์
ทานอาหารเสร็จก็เช็คเอ้าท์ วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวเมืองต่อไป
เวลา 9:00 น.ออกเดินทางไปเที่ยวกันค่ะ จุดหมายคือเมืองเครัค (Kerak)
Abdoun Bridge
เดินทางลงใต้ไปยังเมืองเครัค ระยะทางประมาณ 120 กม.
Luminus Technical University College (LTUC)
ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 35 สองข้างทางเป็นทะเลทราย
Welcome to Al-Karak
เวลา 10:30 น.เดินทางมาถึงเมืองเครัค
มองเห็นปราสาทเครัคตั้งอยู่บนเนินเขาสูงโดดเด่น
ขับรถขึ้นไปตามทางเพื่อไปยังปราสาทบนเขา
ตัวเมืองเครัคตั้งอยู่บนที่ราบสูงขนาดใหญ่ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 950 เมตร
ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วค่ะ
Karak Castle entrance fee = 2JD. It is open from 8 am until 4 pm.
ซื้อตั๋วแล้วเข้าไปชมด้านในปราสาทกันค่ะ
ทางเดินเป็นสะพานไม้ข้ามไปยังตัวปราสาท
ด้านหลังคือแนวกำแพงสูงที่ล้อมรอบปราสาท
จุดชมวิวกลางสะพาน
The city of Kerak is built some 950 meters above sea level.
มองลงไปเห็นถนนคดเคี้ยวเพื่อขึ้นมายังเมืองเครัค
ชมวิวและถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ให้ จนท.ตรวจตั๋วแล้วผ่านประตูเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ
The castle is nestled within the ancient city walls.
ปราสาทเครัค (Kerak Castle)ตั้งอยู่ที่เมืองอัลเครัค (Al Karak) ทางตอนกลางขอประเทศจอร์แดน
ซึ่งเป็นปราสาทสมัยครูเสดที่มีขนาดใหญ่มาก
Kerak Castle map
เดินไปตาม Lower Court ขึ้นบันไดเพื่อไปยัง Upper Court
The city of Kerak (known as Al-Karak) is famed for the significant role it played during the Crusades.
Wall with arrow slit
ช่องว่างเล็กๆตรงกำแพงใช้สำหรับให้ทหารยิงธนูออกไปด้านนอก
The Upper Court's Southern Section
อุโมงค์ทางเข้าไปยังด้านในตัวปราสาท
The architecture of Kerak Castle is characterized by its thick walls and towers.
ด้านข้างมีช่องและห้องเล็กๆ
We enter Kerak through an Ottoman-era gate to arrive in the castle's Upper Court.
ทางออกไปสู่ลานตรงกลาง
In the southern section of the Upper Court, there is a Crusader church and various building additions dating from the later Mamluk era.
Wall with miḥrāb
บริเวณปราสาททางทิศใต้เป็นที่ตั้งของมัสยิด
Entrance vestibule from the courtyard to the mosque
เดินต่อไปทางอุโมงค์หินเข้าไปชมด้านใน
The walls are made of stone blocks up to three meters thick.
This makes an effective defense against attackers.
ด้านในมีห้องหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
The interior design of Kerak Castle reflects its Crusader origins.
The kitchen still has the grinding stones on display and a massive, easily distinguished oven area.
ผนังห้องเป็นหินโค้ง
ห้องใหญ่จะมีเตาผิงสำหรับหน้าหนาว
มีช่องหน้าต่างไว้ระบายอากาศ
ด้านบนเพดานก็มีช่องแสง
ที่พื้นมีช่องระบายน้ำลงไปด้านล่าง
Several smaller rooms were used as living quarters for soldiers or servants who worked at the castle.
เดินต่อไปยังปราสาททางทิศเหนือ
Entrance to Lower Court
วิวตัวเมืองเครัคบนเนินเขาฝั่งตะวันตก
Karak Castle was built in the 1140s, under Pagan and Fulk, King of Jerusalem.
It is one of the largest crusader castles.
ปราสาทเครัคแห่งครูเสดสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1142 โดยกษัตริย์แห่งเยรูซาเลม สร้างอยู่บนยอดเขาเพื่อให้ง่ายต่อการป้องกันศัตรู
Karak Castle is one of the most beautiful Crusader Castles in Jordan.
Karak is best known for its relevance in the Crusades of the 12th Century.
Karak Castle was the stronghold for crusades between the Crusaders and the army of Saladin; the first sultan of Egypt and Syria. After many years of battles, the castle was eventually overthrown by Saladin’s army.
ในอดีตเคยเป็นเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่ของนักรบครูเสด และใช้ในการต่อสู้ในสงครามครูเสดกับกองทัพมุสลิม จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 ได้ถูกทำลายโดยนักรบมุสลิมภายใต้การนำทัพของ ซาลาดิน (SALADIN) กษัตริยอิสลามจากราชวงศ์ Ayyubid ของอียิปต์
จากนั้นปราสาทแห่งนี้ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมเผ่าต่างๆในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด
We can see as far as the Dead Sea from the top of the castle on a clear day.
จุดชมวิวบริเวณส่วนกลางของปราสาท
Panoramic views across the rolling hills of the surrounding countryside.
Kerak Castle is an excellent example of Crusader architecture. It has been recognized by UNESCO, who have designated it as a World Heritage Site since 2006 due to its historical significance and architectural beauty.
It stands today as a testament to this unique style of architecture popular during medieval times throughout Europe and beyond.
ปราสาทเครัคได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2006
เข้าไปชมปราสาททางฝั่งทิศเหนือกันค่ะ ด้านในค่อนข้างใหญ่เพดานสูง แบ่งเป็นหลายห้อง
It features several large halls with vaulted ceilings and large fireplaces for warmth in cold nights.
The castle complex is home to a barrel-vaulted gallery, which would have functioned as stables.
The series of cells that served as storehouses, a kitchen and barrack accommodation for soldiers.
แต่ละห้องเชื่อมต่อเดินถึงกันหมด
ผนังกำแพงหนาประมาณ 6 เมตร มีช่องเล็กๆตลอดแนวสำหรับยิงธนู
The slit-shaped windows set into the walls for shooting arrows.
The keep's walls are over six meters thick.
เดินเล่นชมห้องเล็กๆด้านในมีหลายชั้น คล้ายเมืองใต้ดินเลยค่ะ
เดินชมด้านในปราสาทสักพักก็เริ่มร้อนและอึดอัดเลยหาทางออกมารับลมด้านนอกค่ะ
There is a museum with artifacts and historical information about the castle at the entrance.
In ancient times the city of Karak was known as the Wall of Potsherds in Hebrew.
It was a capital city of ancient Moabite, dating back to the 7th Century BCE.
เวลา 12:00 น. เดินทางออกจากปราสาทเครัค นั่งรถลงเขาผ่านตลาดเมืองเครัค
มัสยิดกลางเมือง
เวลา 13:00 น.แวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารพื้นเมือง "The New Jerusalem Resthouse"
ด้านในเป็นร้านขายของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง
อาหารเที่ยงเป็นบุฟเฟ่ต์
ทานอาหารเสร็จก็เข้าห้องน้ำและออกเดินทางต่อ
เวลา 14:00 น.เดินทางลงใต้มาถึงปราสาทครูเสดโชบัค
มีเด็กๆขี่ลาวิ่งมาหา เพื่อจะให้เราใช้บริการขี่ลาชมปราสาท
พวกเราไม่ได้ใช้บริการขี่ลาเพราะแค่แวะมาเก็บภาพปราสาทอย่างเดียว
มองไปรอบๆมีแต่ทะเลทราย
MontReal or Qal'at ash-Shawbak in Arabic.
The castle built by the Crusaders and expanded by the Mamluks, on the eastern side of the Arabah Valley.
Shobak Castle is located along the famous King’s Highway,
The castle was built in 1115 by Baldwin I of Jerusalem as a form of defense. This crusader castle was known to the crusaders as Mont Real which means the Fortress of the Royal Mount.
It stood strong in many battles until it was defeated in 1189 by Salahuddin Al-Ayyoubi, the first sultan of Egypt and Syria.
ปราสาทโชบัค Shoubak ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,300 เมตร
เนินเขาแห่งนี้เคยเรียกว่าครักดีมันทรีออล (Krak de Montreal) ซึ่งแปลว่า "ภูเขากษัตริย์"
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1115โดยพระเจ้าบอลด์วินที่ 1 ซึ่งทรงเป็นนักรบครูเสดจากเยรูซาเล็ม
เพื่อใช้เป็นป้อมปราการควบคุมเส้นทางกองคาราวานจากดามัสกัสไปยังอียิปต์
กองทัพแห่งสุลต่านซาลาดินเข้าล้อมปราสาทนาน 18 เดือน ในที่สุดก็เข้าควบคุมได้ใน ค.ศ. 1189
พวกมัมลุคได้ยึดครองปราสาทโชบัคในศตวรรษที่ 14 แล้วสร้างขึ้นใหม่
เก็บภาพเสร็จก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองเพตราค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น