TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2567/01/07

Jordan in Dream : Jerash "The City of Thousand Columns" (นครเจราช เมืองพันเสา)

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2566
ทริปปิดเทอมปีนี้คุณป๋าจะพาพวกเราไปชมหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกกันค่ะ
ออกเดินทางจากบ้านไปสนามบินสุวรรณภูมิ นัดเจอกับกรุ๊ป "JORDAN IN DREAM"
เวลา 21:00 น.เช็คอินที่เค้าท์เตอร์สายการบิน Royal Jordanian Airline เที่ยวบินที่ RJ 183

โหลดกระเป๋าเสร็จก็เข้าไปผ่าน ตม.แล้วไปนั่งคอยที่เกทค่ะ เวลาเครื่องออก 00:20 น.

พอถึงเวลา จนท.ก็เรียกขึ้นเครื่อง

ที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3 คนไม่เต็มยังมีที่นั่งเหลือเพราะตอนนี้ยังมีข่าวสงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์

สายการบินแห่งชาติบินตรงสู่กรุงอัมมาน เมืองหลวงประเทศจอร์แดน ใช้เวลาบินประมาณ 8.5 ชั่วโมง

บนเครื่องมีบริการอาหารและเครื่องดื่มสองมื้อ พวกเราไม่ได้ทานเพราะต้องการนอนยาวค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566
เวลา 05:00 น. เดินทางมาถึงจุดหมาย กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน

Queen Alia International Airport

พอออกจากเครื่องก็เดินไปตามป้ายเพื่อไปผ่าน ตม.ก่อนค่ะ

ที่ ตม.จะมี จนท.มาเก็บพาสปอร์ตเพื่อไปทำ Visa on arrival แล้วให้พวกเราไปรอรับกระเป๋าที่สายพาน
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้พาสปอร์ตกลับมาพร้อมวีซ่าและตราประทับ

ลากกระเป๋าออกมารอรถบัสที่ด้านนอกอาคาร

เวลา 06:30 น.เดินทางมาถึง Amman Airport Hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ตรงทางเข้าสนามบิน

ทานอาหารเช้าที่โรงแรมกันค่ะ

Breakfast Buffet

มื้อนี้ทานเยอะนิด เพราะพวกเราไม่ได้ทานอาหารบนเครื่องเลยค่ะ

ทานอาหารเสร็จก็เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมไปเที่ยว อากาศด้านนอกเย็นสบาย

เวลา 07:30 น.ออกเดินทางไปเที่ยวกันค่ะ จุดหมายคือเมืองเจราช ระยะทางประมาณ 80 กม.

เดินทางขึ้นเหนือไปตามทางหลวงหมายเลข 35 

สนามบินอยู่ห่างจากกรุงอัมมานประมาณ 30 กม.

เนินด้านหน้าคือเมืองหลวงกรุงอัมมาน รถเข้าเมืองค่อนข้างหนาแน่น

ใช้เส้นทางรอบนอกไม่ผ่านในตัวเมืองหลวง


King Hussein Medical Center (KHMC)


มัสยิดใหญ่ริมทางหลวง


ร้านขายของตกแต่งบ้านและสวน

พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ตัวอาคารสร้างด้วยปูนทรงสี่เหลี่ยมแบบเรียบๆ



เวลา 08:30 น.เดินทางมาถึงเมืองโบราณเจราชแล้วค่ะ

ตรงลานจอดรถมีร้านอาหาร Old Roman restaurant

ทางเข้าเมืองโบราณอยู่ด้านข้าง

ตอนเช้ายังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว

ด้านหลังคือส่วนหนึ่งของผนังฮิปโปโดรม


Local Community Shop

ด้านในอาคารมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน พวกเราใช้เงิน USD จ่ายเพราะไม่อยากแลกเงิน JOD
Jordanian Dinars : 1 JOD = 1.4 USD


 The Jerash Archaeological city entrances fees = 10 USD

ค่าตั๋วเข้าชมด้านในเมืองโบราณเจราช ราคา 10 USD สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

The ancient city of Jerash is one of the best preserved Greco-Roman cities, which earned it the nickname "Pompeii of the Middle East". It is the grandeur of Imperial Rome being one of the largest and most well preserved sites of Roman architecture in the World outside Italy.

นครเจราชเป็นหนึ่งในหัวเมืองเอกตะวันออกของอาณาจักรโรมัน มีฉายา "ปอมเปอีแห่งตะวันออก"
สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นราว 100-200 ปีก่อนคริสตกาล และเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนถูกฝังกลบหมด

เดินไปชมเมืองโบราณเจราชที่ได้รับการขุดค้นขึ้นมาใหม่กันค่ะ บนเนินด้านหลังคือซุ้มประตูโบราณ

The Arch of Hadrian

This arch was built in honor of Emperor Hadrian's visit to Gerasa in 129/130 AD.
This impressive triple-bay monument is one of the largest known arches of the Roman Empire.

ซุ้มประตูสามโค้งสูง 11 เมตร เดิมมีความสูงประมาณ 22 เมตร
สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่การเสด็จเยือนของจักรพรรดิเฮเดรียนแห่งโรมันในปี ค.ศ. 129–130 

  The exterior is embellished with four columns adorned with composite capitals.
 It is an 11-metre high triple-arched gateway.The arch's original height was about 22 meters.

ซุ้มโค้งตรงกลางมีขนาดใหญ่และสูงที่สุด

Today the arch is known locally as "Bab Amman", which means "Amman Gate" in Arabic.

The arch is characterized by a dual façade, northward to the city, and southward to the road. 
The two facades were similar.  Four huge Corinthian columns frame the façade.

ซุ้มประตูทั้งสองด้านตกแต่งคล้ายกัน โดยมีเสาโครินเธียนขนาดใหญ่ด้านละสี่ต้น

ทางทิศใต้ของซุ้มประตูหันออกไปทางถนนด้านนอก ส่วนทางทิศเหนือหันหน้าไปทางเมืองเก่าเจราช

ด้านในมีซากปรักหักพังกองอยู่จำนวนมาก

ซากพวกนี้ได้รับการขุดขึ้นมาจากใต้ดิน


หินแต่ละชิ้นมีการสลักลวดลายสวยงาม

Church of Marianos

 The western side of the Gerasa road was free to build this hippodrome (means "circus" in Latin).

ทางฝั่งตะวันตกของถนนสู่เมืองเจราชคือฮิปโปโดรม มีบันไดทางขึ้นไปชมวิวมุมสูง

ด้านบนเป็นอัฒจันทร์สำหรับผู้เข้าชมการแข่งขัน


เข้าไปชมด้านในสนามกันค่ะ

The Vomitoria (Tunnel)

The Jerash Hippodrome
This arena was 245m long and 52m wide and could seat 15,000 spectators at a time for chariot races and other sports. The construction date is estimated between the mid-second to third century AD.

สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 220
สนามมีความกว้าง 52 เมตร ยาว 245 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 15,000 คน

The Jerash Hippodrome was a hub of athleticism and competition, primarily hosting chariot races. 
 The gladiators and charioteers appeared by the Roman Army and Chariot Experience (RACE).

สนามแห่งนี้ใช้เป็นที่จัดแสดงโชว์การแข่งขันรถม้า "RACE"


เดินขึ้นเหนือไปตามถนนสู่ตัวเมืองเก่าด้านใน ระยะทางประมาณ 500 เมตร



วันนี้แดดไม่ร้อนเพราะมีเมฆมาก เดินสบายไม่เหนื่อยค่ะ

ทางขวามือคือทางเข้าเมืองโบราณอีกจุดหนึ่ง

ตัวเมืองเจราชปัจจุบันตั้งอยู่บนเนินฝั่งตะวันออก


เดินตรงต่อไปยัง South Gate

Tour Guide มีหลายภาษา

ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวอยู่ทางขวามือ มีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง

Jerash Visitor Center

Jerash Rest House

ด้านหน้าคือ ประตูทิศใต้ 

จนท.ตรวจตั๋วแล้วก็ผ่านเครื่องกั้นเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ

ประตูนี้เป็นหนึ่งในสี่ประตูและเป็นประตูหลักเพื่อเข้าสู่เมืองเก่า 
ประกอบด้วย 3 ซุ้มโค้งแบบครึ่งวงกลม มีเสาโครินเธียน 4 เสา 

South Gate
It is one of four entrances of the ancient city with three archways and semicircular designs. 
 It consists of a large central doorway flanked by two smaller doorways. The gate is decorated with engaged columns, niches, and vegetal carvings.

The South Gate served as the main entrance into Gerasa in both the Roman and Byzantine periods.

มีร่มวางไว้ให้บริการ น่าจะไม่ฟรี

เดินผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วเลี้ยวซ้าย

ด้านในเป็นห้องเล็กๆ มีผนังหินสามด้าน

The Oil Press (Ca 220 AD - ca300 AD)
In 220 AD the rocky floor of the southernmost shop of the West was dug into to house an oil mill. 
The ancient oil press has well preserved and can still be seen here today at Jerash city.

ในหลุมด้านล่างมีเครื่องบีบน้ำมันจากลูกมะกอก ลักษณะเป็นหินกลมมีแกนหมุนตรงกลาง

The West Souk and Military Barracks of Jerash
(2nd Cent. AD – end  3th  cent. AD, 4th Cent. AD-7th cent. AD)
The area at the foot of the Temple of Zeus and on the west side of the Gerasa-Philadelphia road.
The shops were occupied by woodworking craftsmen and many of their tools have been found here.

เมื่อเดินเข้ามาจากประตูทิศใต้ จะพบกับตลาดอยู่ทางฝั่งตะวันตก มีการขุดค้นพบเครื่องมือช่างด้วย

 This area was used to build a small army barracks around central courtyard. These housed the guards protecting access to the fortification, which were built in the early 4th century. 

ด้านข้างตลาดมีการก่อสร้างค่ายทหารอยู่ตรงกำแพงเมือง

The South Street

The East Souk (Ca 110 AD – ca 300 AD)


 The East Souk was deliberately razed to the ground in order to shift the street here to create direct access to the Oval Plaza from the South Gate of Jerash city.

ต่อมาได้มีการสร้างตลาดเพิ่มทางฝั่งตะวันออกของถนนเพื่อเชื่อมต่อไปยังโอวัลพลาซ่า


เดินผ่านซุ้มโค้งไปยังส่วนต่อไป

มองเห็นวิหารเทพซีอุสและโรงละครทิศใต้

เลี้ยวขวาไปยังโอวัลพลาซ่า

The Oval Plaza connects the temple of Zeus to the Cardo.

Oval Plaza covering an area of 90 meters by 80 meters. It is surrounded by a broad sidewalk 
and a colonnade of Ionic columns dating back to the 1st century AD.

โอวัลพลาซ่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าเจราช สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 1
สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างวิหารเทพซีอุสและถนนคาร์โด

ลานกว้างรูปวงรี ขนาด 90x80 เมตร ตรงกลางเป็นพื้นหินขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยเสาคอรินเธียน 

เสาสูงหลายสิบต้นเรียงรายล้อมรอบโอวัลพลาซ่าทั้งฝั่งซ้ายและขวา


The Oval Plaza stands as a masterpiece of ancient Roman architecture.

สมัยก่อนที่นี่เป็นสถานที่ชุมนุมและสังสรรค์ของชาวเมือง

There are two alters in the middle and a fountain was added in the 7th Century AD.

ตรงกลางลานมีเสาและน้ำพุที่สร้างเพิ่มขึ้นในศตวรรษที่ 7

Map of Gerasa (Jarash)

แวะทักทายเจ้าถิ่นหน่อยค่ะ

ด้านหน้าคือวิหารเทพซีอุส ด้านข้างคือโรงละครทิศใต้

The Great Temple of Zeus
It was built in 162-163 CE, on the foundations of a first century temple. 
It was a peristyle temple of 12 by 8 columns; the columns now standing have been re-erected. 

วิหารนี้สร้างขึ้นในปี 162-163 ตั้งอยู่บนเนินมีสองชั้น ล้อมรอบด้วยเสาด้านละ 12 และ 8 ต้น

Zeus Temple Complex (Gerasa)
The Temple of Zeus in the ancient city of Gerasa sits on a hill adjacent to the Roman theater. 

 This temple holds a significant place of reverence, being among the oldest sacred sites in the city.

น้องส้มขอโพสต์ท่าตามพี่มป

เดินไปชมโรงละครกันต่อค่ะ

มองย้อนลงไปด้านล่างคือโอวัลพลาซ่า

Southern Theatre


ด้านข้างโรงละครเป็นทางเข้าไปยังวิหารเทพซีอุส

น้องนั่งรอต้อนรับนักท่องเที่ยว

โรงละครทิศใต้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.80-96

เข้าไปชมด้านในโรงละครกันค่ะ

 Two vaulted passages lead into the orchestra, and four passages at the back of the theater give access to the upper rows of seats.

โรงละครมีขนาดใหญ่มาก โครงสร้างสมบูรณ์สวยงาม เดินขึ้นไปชมด้านบนกันค่ะ


The theater's remarkable acoustics allow a speaker at the centre of the orchestra floor to be heard throughout the entire auditorium without raising the voice.

ตรงกลางลานมีคนท้องถิ่นมาเล่นเครื่องดนตรีพื้นเมือง เสียงดังกังวานไปทั่วโรงละครเลยค่ะ

This is a typical Roman plan theater that was built between 80 and 96 AD 
and it is estimated that it could seat more than 3,000 people.

โรงละครทิศใต้นี้มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเมืองเจราช สามารถจุคนได้ประมาณ 3,000 คน

The South Theater is the largest and oldest of three ancient theaters in Jarash, 
the other two being the North Theater and Birketein Theater. 

It is still being used to host musical events at the annual Jarash Festival events.

ปัจจุบันโรงละครแห่งนี้ยังใช้ในการจัดแสดงงานดนตรีและงานสำคัญเป็นประจำ


เดินขึ้นมาที่ชั้นบนสุดเพื่อชมวิวโดยรอบ

ด้านหลังคือวิหารเทพซีอุส (Temple of Zeus)

ยืนชมวิวสักพักฝนก็ตกค่ะ โชคดีว่าถ่ายรูปเสร็จแล้วเลยเดินกลับลงไปด้านล่างกันค่ะ

The South Theater included an imposing and richly decorated stage with a backdrop, 
made up of at least two superimposed levels of Corinthian columns.

เวทีด้านหน้ายกพื้นสูง ด้านหลังตกแต่งด้วยเสาโครินเธียนสองชั้น

พอฝนหยุดตกก็เดินไปชมส่วนอื่นต่อค่ะ



เดินขึ้นเหนือไปตามป้ายบอกทาง

ทางเดินจะเป็นเนินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มองลงมาจะเห็นวิวตัวเมืองเจราชอยู่ทางทิศตะวันออก


พวกเรามาเที่ยวช่วงหน้าหนาวพื้นดินเลยดูแห้งแล้ง 

ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพื้นที่ทั่วบริเวณจะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว


มีป้ายบอกทางปักไว้ตลอดเส้นทาง

มองเห็นจุดหมายอยู่ด้านหน้าไม่ไกลประมาณ 500 เมตร ทางขวามือเป็นถนนโคลอนเนด

The path that runs between the South Theatre and the Temple of Artemis
 offers a good vantage point of the south decumanus, double colonnade stretching to the south.

ถนนสวยมาก แวะลงไปถ่ายรูปกันก่อนค่ะ

มีแมวเกือบทุกที่เลย น้องน่าจะอาศัยอยู่ในนี้

South Decumanus Colonnaded Roman Street

The south decumanus served as the Roman town's main east–west axis.

ถนนโคลอนเนดเส้นนี้สร้างขึ้นเพื่อไปเชื่อมกับถนนคาร์โดทางทิศตะวันออก ยาวประมาณ 200 เมตร



เดินขึ้นมาบนเนินเข้าสู่เขตวิหาร

Church of St.Theodore

ทางขวามือคือซากของโบสถ์เซนต์ธีโอดอร์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 496

 It was built in 496 AD.


แนวเสาโคลอนเนดด้านข้างวิหาร


เดินขึ้นเนินมาจะพบกับวิหารเทพีอาร์เทมิส

The Temple of Artemis
 It was the largest temple in the ancient city of Gerasa.


This temple was built as a shrine to Artemis, who was the patron goddess of Gerasa.
Construction of the temple began in the 2nd century AD. 

เทพีอาร์เทมิสเป็นเทพีประจำเมืองเจราช
วิหารนี้สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ.150 เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำพิธีบวงสรวงต่อเทพีอาร์เทมิส

 The temple sits in an open precinct 160 x 120 m, surrounded by colonnades. 
It have been surrounded by a peristyle of 11 columns on the long sides and 6 on the short.

There are only 12 columns out of a planned total of 32 were erected.

Reliefs of acanthus leaves and the dedicatory inscription topped off the whole structure.

วิหารนี้มีขนาด 160 x 120 เมตร ล้อมรอบด้วยเสาโครินเธียน ด้านยาว 11 ต้น และด้านกว้าง 6 ต้น
เสาที่ขุดค้นขึ้นมาในสภาพสมบูรณ์มีเพียงแค่ 12 ต้น ด้านบนหัวเสาแกะสลักลวดลายละเอียดงดงาม

ด้านในสุดของวิหารเป็นแท่นบูชา มีกรงเหล็กกั้นไว้

 At the top is a terrace with the foundations of an open-air altar, with another staircase leading to the tenemos, or sacred courtyard, with the remains of a small 6th century church in the southern part. 

รูปภาพแสดงการขุดค้นซากวิหารเทพีอาร์เทมิสซึ่งเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง

มีบันไดทางขึ้นสู่แท่นบูชาของวิหาร

In front of the temple are the remains of a second open-air altar, along with ruins of later Byzantine 
and Umayyad pottery kilns and workshops.



ด้านหน้าวิหารเป็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างในยุคไบเซนไทน์


The temple built on a raised platform that elevated it above its surroundings 
and accessed via a stairway that remains today.


ทางทิศใต้ของวิหารมีหลุมขนาดใหญ่ด้านล่างมีเครื่องมือช่างแบบโบราณ

The Hydraulic Stone Saw Machine (CA 550 AD)

เครื่องตัดหินพลังน้ำ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.550

This water-powered saw is the earliest machine in the world. It was used for cutting large blocks of stone. It is made up of two saws, each with four blades, which were powered by a water mill.


เดินไปชมส่วนต่อไป


เดินลงเนินไปด้านล่าง

Cotton thistle (Scottish thistle)
เราจะพบต้นไม้แบบนี้ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ ขอบใบหยักเหมือนลวดลายที่หัวเสาโครินเธียน

บันไดทางขึ้นไปยังวิหารเทพีอาร์เทมิส ค่อนข้างสูง

พวกเราเดินลงบันไดมาจากวิหาร สบายไม่เหนื่อยค่ะ

ด้านล่างคือซุ้มประตูทางขึ้นสู่วิหารเทพีอาร์เทมิสจากถนนคาร์โด

Propylaeum of the Sanctuary of Artemis

A monumental gateway (propylaea) acted as the entrance to the sanctuary from the main cardo.

ด้านล่างคือถนนคาร์โด

The propylaea consisted of a 19.5m wide triple portico.
 Each of its main columns measured 1.5m in diameter and 16m high. 

มุมนี้สวยมากค่ะ 

ซุ้มประตูกว้าง 19.5 เมตร เสาประดับด้านหน้ามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เมตร สูง 16 เมตร


The Church of the Propylaea

ฝั่งตรงข้ามกับซุ้มประตูเคยเป็นโบสถ์มาก่อน และได้พังทลายลงจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

เดินขึ้นเหนือไปตามถนน Cardo Maximus



ด้านหน้าคือซุ้มประตูทิศเหนือเป็นจุดตัดของถนน Cardo Maximus และ North Decumanus



สองฝั่งถนนประดับด้วยเสาสูงนับร้อยต้น

North Tetrapylon
This archway with four entrances was built over the intersection of Jerash's cardo maximus and the north decumanus.  It was designed as a gateway to the North Theatre, rebuilt in 2000.

ซุ้มประตูนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมมี 4 ทางเข้า 

The West Baths
They have been built in the early 2nd century. The baths are typically Roman in style.

โรงอาบน้ำสาธารณะแบบโรมัน สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 2

เลี้ยวซ้ายไปโรงละครทิศเหนือ ด้านข้างมีทางเดินไปยังโบสถ์ที่อยู่บนเนิน

The North Theater

บันไดทางขึ้นไปยังด้านหลังโรงละคร

ประตูทางเข้าโรงละครด้านข้าง


ทางขึ้นไปยังโรงละครชั้น 2 

เดินผ่านเข้าไปด้านในเลยค่ะ

ลานสี่เหลี่ยมทางขวามือด้านบนประดับด้วยเสาโครินเธียน เป็นทางเข้าโรงละครด้านหน้า

A rectangular courtyard bordered by galleries upheld by Corinthian-style columns. 
An additional stone staircase leads from the arena to the front of the dressing rooms.


The North Theater was built in 165AD.

The northern theater known as the Odium. It is smaller than southern theater. 

โรงละครนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.165 มีขนาดเล็กกว่าโรงละครทิศใต้

The theater has a capacity of around 2,500 spectators.
It served various purposes such as hosting poetry readings, musical performances, public gatherings, and religious speeches. 

โรงละครนี้จุผู้ชมได้ประมาณ 2,500 คน ใช้จัดงานหลายอย่างเช่นการแสดง คอนเสิร์ต

พวกเราไม่ได้เดินขึ้นไปชั้นบน ขอเก็บภาพด้านล่างพอค่ะ

The lower section consists of 14 rows and the upper section made up of 9 rows.

แต่เดิมที่นั่งมีแค่ชั้นล่าง 14 แถว ต่อมาได้มีการสร้างชั้นบนเพิ่มอีก 9 แถว

ถ่ายรูปเสร็จก็เดินออกทางเดิม



เดินกลับไปที่ North Tetrapylon แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนน Cardo Maximus

The Cardo Maximus is the main colonnaded street of ancient Gerasa. 
It extends from the north end of the Oval Plaza to the North Tetrapylon, a distance of  805 meters. 

ถนน Cardo Maximus เป็นถนนเส้นหลักของเมืองโบราณเจราช มีความยาว 805 เมตร
สร้างขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 1 โดยเป็นเสาปูน ต่อมาในศตวรรษที่ 2 ได้ขยายถนนให้กว้างขึ้นและเปลี่ยนเป็นเสาโครินเธียนสวยงาม

It was first built with Ionic columns in the late 1st century CE.
 And it was widened and changed to Corinthian colonnades in the 2nd century CE. 

The Nymphaeum 
It is a monumental fountain that served the public’s daily water needs. 
 The two levels of the façade were richly ornamented with carvings, panels, and Corinthian columns. 

น้ำพุสาธารณะกลางเมืองตั้งอยู่ริมถนนสายหลักเพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้ มีน้ำไหลตลอดเวลา
มีท่อระบายน้ำอยู่ตรงกลางถนน

 The water would run continuously, and any overow was collected by the street’s sewage system.

The Cathedral
 This church constructed during the 4thAD. It was built atop the remains of the Roman Temple of Dionysus. Some columns and adornments were taken from the Temple of Zeus.

This street is lined with side porticoes, featuring columns in the Corinthian style. 
The columns vary in size, with the ones at the main entrances of buildings being larger and grander.

ถนนคาร์โดเป็นถนนที่สวยงามมาก มีเสาประดับตลอดสองข้างทางนับร้อยต้น

Intersected by colonnaded streets : The South Decumanus at the South Terakionion plaza 

ทางแยกซึ่งเป็นจุดตัดกับถนน South Decumanus

สองข้างทางเป็นร้านค้า

The Shops of  the South Cardo

The Macellum was built as a food market in the first half of the 2nd century AD.

เดินมาจนสุดถนนคาร์โดก็จะพบกับโอวัลพลาซ่า


เดินย้อนกลับไปทางเดิม


วันนี้พวกเราได้ใช้เวลาร่วมสี่ชั่วโมงในการชมเมืองโบราณเจราชจนครบค่ะ

ด้านหน้าคือ South Gate


เก็บภาพกับประตูทิศใต้ก่อนกลับค่ะ


ซุ้มประตูกษัตริย์เฮเดรียน

Arch of Hadrian

เดินออกมาด้านนอกเก็บภาพเป็นที่ระลึก

เดินกลับมาที่จอดรถแล้วออกเดินทางไปทานอาหารกลางวันกันค่ะ


เวลา 12:00 น.เดินทางมาถึงภัตตาคาร Artemis Restaurant

Lunch Buffet

ร้านอาหารพื้นเมือง

เมนูนี้น่าทานค่ะ



ร้านอาหารอยู่ทางทิศใต้ของเมืองโบราณ วิวด้านนอกสวยค่ะ

ทานอาหารเสร็จก็เดินทางกลับกรุงอัมมาน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น