วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2566
เวลา 17:00 น.ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทางจากเมือง Cochem มาถึงเมือง Koblenz
นั่งแท็กซี่ด้านหน้าสถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปยังสามเหลี่ยมเยอรมัน ระยะทาง 2.5 กม.
ผ่านโบสถ์คาทอลิก
ในเมืองรถไม่ติดเลยค่ะ
แม่ตุ๊กให้คนขับจอดส่งด้านหน้าโบสถ์แคสเตอร์ซึ่งอยู่ใกล้กับสามเหลี่ยมเยอรมัน
The Basilica of St. Castor
It is the oldest church in Koblenz and located near Deutsches Eck.
มหาวิหารเซนต์แคสเตอร์เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโคเบลนซ์
It was built in 817-836 by Hetto, the Archbishop of Trier with the support of Emperor Louis the Pious. It is a three-aisled vaulted basilica with two towers.
วิหารนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.817-836 ด้านหน้าเป็นหอคอยคู่มีหลังคาเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
เวลาทำการ 9:00-18:00 น. ใกล้จะปิดแล้วพวกเราเลยเข้าไปชมด้านกันก่อนค่ะ
The rhomboid roof on the western towers were installed at the beginning of the 13th century.
St.Castor statue and Tympan with a relief of Mary Queen of Heaven.
ด้านในสวยและเงียบสงบไม่มีคนเลยค่ะ เพดานตกแต่งเป็นรูปดวงดาว
Vaulting was installed to replace the Romanesque roof from 1496 to 1499.
Two star vaults were erected in the nave and above the altar.
Altar
ด้านในสุดของวิหารคือแท่นบูชา มีรูปสำริดพระเยซูอยู่ตรงกลาง
The monastery of St. Kastor was the meeting and arbitration place of emperors, kings and descendants.
ในประวัติศาสตร์วิหารแห่งนี้เป็นสถานที่ประชุมของกษัตริย์และราชวงศ์หลายครั้ง
วิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นช่วงกลางศตวรรษที่ 12
วันที่ 30 ก.ค.1991 พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 ได้ประกาศให้โบสถ์นี้เป็นมหาวิหาร
The building in its present form dates mainly from the middle of the 12th century.
On July 30, 1991, Pope John Paul II elevated the Kastor church to the status of basilica minor.
A small choir organ was additionally bought in 1990 and the main organ was removed in 2013.
The new main organ is installed in 2014 on west wall above the church entry.
ออร์แกนหลักอันใหม่อยู่ด้านบนประตูทางเข้า มีขนาดใหญ่มาก
ผนังด้านในประดับด้วยภาพปูนปั้นและกระจกสีสวยงาม
เดินชมรอบๆวิหารเสร็จก็ออกไปข้างนอกค่ะ ใกล้เวลาปิดแล้ว
The church including the entrance hall is 58.25 m long and its width is 25.3 m.
The towers are 44 m high, 6 m wide and 6.8 m deep.
Kastorbrunnen
Fountain on the Kastorhof was built in 1812. It is a curious testimony of the Napoleonic Wars.
น้ำพุหน้ามหาวิหารสร้างขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานถึงสงครามนโปเลียน
ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ลุดวิกและอุทยานด้านข้างวิหาร
เดินไปตามถนน Esther-Bejarano
ด้านหน้าคือสนามเด็กเล่น Water Playground
ด้านหลังคือสามเหลี่ยมเยอรมัน
ทางขวามือคือป้อมปราการกำแพงเมืองเก่า
Koblenz City Fortifications was built in the beginning of Roman settlement.
It was further expanded in the Middle Ages under the rule of the Archbishops of Trier.
ต้นไม้ต้นนี้สวยมาก มีทางเข้าเหมือนเป็นกระโจมเลยค่ะ
อาคารด้านในกำแพงคือพิพิธภัณฑ์ Ludwig Museum มีทางเข้าอยู่ด้านข้าง วันจันทร์ปิดทำการค่ะ
วันนี้มีการจัดงานสตรีทฟู้ดบริเวณสวนหย่อม
เข้าไปเดินเล่นในงานกันค่ะ คนเยอะมากๆ
ร้านอาหารหลายสิบร้านมีแบบเป็นซุ้มอาหารและฟู้ดทรัค มีบ้านลมสำหรับเด็กด้วยค่ะ
ชื้ออาหารแล้วก็นั่งกินกันที่สวนริมแม่น้ำเลยค่ะ
สวนร่มรื่นลมเย็น เป็นแหล่งพักผ่อนของชาวเมือง
บริเวณนี้เป็นสวนด้านหลังอนุสาวรีย์
เดินไปที่ลานด้านหน้ากันค่ะ
Kaiser-Wilhelm-Denkmal (Emperor Wilhelm I Monument)
อนุสาวรีย์จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1
This statue was erected at the outermost end of the Deutsche Eck, deceased in 1888.
It was destroyed by the American allied forces in March 1945.
The new statue was inaugurated On 25 September 1993.
The installation took place on Sedan Day, the day on which the German victory in the Battle of Sedan.
อนุสาวรีย์สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1888 และถูกทำลายด้วยกระสุนปืนใหญ่ในปี 1945
หลังจากนั้นได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในปี 1993
The equestrian statue is 14 m high. William I in a general's uniform, reminiscent of the Prussian victories in the "German Wars of Unification". His horse is roped by a winged female genius bearing a laurel wreath and the Imperial Crown.
อนุสาวรีย์จักรพรรดิวิลเฮล์มทรงม้าสูง 14 เมตรตั้งอยู่บนแท่นหินสูง 37 เมตร
ด้านข้างเป็นรูปเทพธิดามีปีกในมือถือพวงมาลัยสวมศีรษะและมงกุฎ
มีคนปีนขึ้นไปนั่งชมวิวที่ฐานอนุสาวรีย์กันหลายคน
ทางฝั่งตะวันออกของสามเหลี่ยมเยอรมันคือแม่น้ำไรน์มีป้อมปราการตั้งอยู่บนยอดเขา
Ehrenbreitstein Fortress
It is located on a mountain spur at 118 meters above the Rhine.
ป้อมเอียเรียนบรายท์ชไตน์ ตั้งอยู่บนเนินเขาฝั่งตรงข้ามเมืองเก่าโคเบลนซ์สูง 118 เมตรเหนือแม่น้ำไรน์
มีเคเบิ้ลคาร์ให้นั่งข้ามแม่น้ำขึ้นไปบนยอดเขา
The Ehrenbreitstein Fortress is the second largest surviving fortress in Europe.
It was built in its current form between 1817 and 1828. Its origins date back to the year 1000.
ป้อมปราการใหญ่เป็นอันดับสองในยุโรปที่ได้รับการอนุรักษ์คงสภาพอย่างดี สร้างครั้งแรกในปี ค.ศ.1000
ป้อมที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1817-1828
พวกเราไม่ได้ขึ้นไปชมบนป้อมเพราะตอนนี้เย็นมากแล้ว เลยยืนอ่านป้ายและดูรูปภาพที่อยู่ด้านล่างค่ะ
อาคารเก่าแก่ด้านในกำแพงเป็นพิพิธภัณฑ์ มีลานกว้างเป็นจุดชมวิวแม่น้ำและเมืองเก่า
วิวสามเหลี่ยมเยอรมันและเมืองเก่าเมื่อมองจากบนป้อมสวยงามมาก ภาพจาก Wikipedia
Deutsche Eck (German Corner)
It is an artificially created spit of land at the confluence triangle of the Rhine and the Mosel.
It has been part of the UNESCO World Heritage Upper Middle Rhine Valley Since 2002.
The Deutsche Eck owes its name to a German order of knights which was given a part of the land by Archbishop Theoderich von Wied in the year 1216. After the establishment of the Teutonic Order,
the headland was renamed Deutscher Ordt (from Orden=order), and later Deutsches Eck.
สามเหลี่ยมเยอรมันนี้เป้นจุดที่แม่น้ำไรน์และแม่น้ำโมเซลไหลมาบรรจบกัน
ในปี ค.ศ.1216 พื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของคณะทิวทอนิก ซึ่งเป็นกองทหารของชาวคริสต์
A big national flag and the flags of the 16 Länder are flying at the German Corner as a reminder of German unity. In addition, the flag of the European Union and the flag of the United States of America, which is displayed as a sign of support for the victims of the September 11 attacks.
บริเวณริมแม่น้ำมีธงนานาชาติประดับอยู่จำนวนมาก
The Deutsche Eck is the landmark of the city of Koblenz.
เดินเล่นถ่ายรูปบริเวณสามเหลี่ยม ลมพัดเย็นสบาย
ด้านนี้คือแม่น้ำโมเซล
ฝั่งตรงข้ามเป็นสถานที่ราชการ
ภาพแสดงสถานที่ท่องเที่ยวริมแม่น้ำโมเซลจนมาสิ้นสุดที่เมืองโคเบลนซ์
เวลา 18:00 น.พวกเราต้องเดินทางกลับแล้วค่ะ
แถวนี้ไม่มีแท็กซี่ เรียกรถผ่านแอปก็ไม่มีใครกดรับเลยค่ะ
เปิดกูเกิ้ลแมพเดินกลับไปสถานีรถไฟ ระยะทางประมาณ 1.5 กม.
The Altes Kaufhaus (Old department store)
เดินลงใต้ไปตามถนน Hohenfelder
Herz-Jesu-Kirche (The Sacred Heart Church)
It is a Catholic church in the old town of Koblenz.
It is one of the most important neo-Romanesque sacred buildings in Germany.
โบสถ์คาทอลิก มีความสำคัญมากแห่งหนึ่งในเยอรมนี สร้างในสไตล์ฟื้นฟูโรมาแนสก์
เดินต่อไปตามถนน Löhrstraße ซึ่งเป็นถนนช็อปปิ้งหลักของเมือง
แวะทานอาหารเย็นที่ร้าน Asaki Sushi Bar, Löhrstraße
คุณป๋าบอกว่าพวกเราควรซื้อไปทานบนรถไฟเพราะเดี๋ยวไม่ทันเวลารถออก
เวลา 19:00 น.รอขึ้นรถไฟกลับแฟรงค์เฟิร์ต
ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟเป็นเนินเขามีป้อมเก่า
มื้อเย็นนี้ทานอาหารบนรถไฟกันค่ะ เพราะใช้เวลาเดินทางกลับประมาณ 2 ชม.
สั่งซูชิมาสองเซ็ตทานกันสามคนก็อิ่มพอดี
เวลา 21:00 น.เดินทางมาถึงที่พัก พระอาทิตย์เริ่มตกแล้วค่ะ เข้าห้องอาบน้ำและพักผ่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น