TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2566/01/09

Himeji castle and Tetsujin 28-go Kobe (ชมปราสาทฮิเมจิ-เทตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28 เมืองโกเบ)

 วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565

เวลา 23:59 น.ออกเดินทางไปโอซาก้าโดยเที่ยวบิน TG622 ทริปนี้เป็นช่วงปิดปี 2 เทอม 1 ของมป

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565

เวลา 07:30 น. เดินทางมาถึงสนามบินคันไซ (Kansai International Airport : KIX) 
เป็นท่าอากาศยานนานาชาติของจังหวัดโอซาก้า (Osaka) ในภูมิภาคคันไซ ตั้งอยู่บนเกาะที่สร้างขึ้น
ในอ่าวโอซาก้า (Osaka Bay) อยู่ห่างจากตัวเมืองโอซาก้าประมาณ 50 กิโลเมตร

ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ผ่านการตรวจเอกสารมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อ COVID-19 

ออกไปรับกระเป๋าที่สายพานและไปผ่าน ต.ม. เสียเวลาตอนผ่านศุลกากรพอสมควร

เวลา 8:30 น.เดินออกจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าทางฝั่งทิศใต้เพื่อไปที่ JR ticket office 
ซึ่งอยู่ที่อาคารข้างๆมีสะพานเชื่อมต่อกัน มองหาป้าย JR สีฟ้าๆ เห็นแล้วก็เดินเข้าไปได้เลยค่ะ

คุณป๋าซื้อตั๋วออนไลน์มาจากเมืองไทยแล้ว แต่ต้องเอามาออกตั๋วที่นี่ค่ะ

ตั๋วรถไฟมีหลายแบบและหลายราคา

ได้ตั๋วมาคนละใบ พร้อมวิธีใช้ Kansai Area Pass 4 days

มีแถมตั๋วรถไฟ (Voucher) ให้อีกสามใบ

ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ออกตั๋วเสร็จสามารถใช้ตั๋วได้เลยค่ะ ลงไปขึ้นรถไฟชั้นล่างเพื่อไปยังที่พักในเมือง

เช้านี้ที่สถานีแทบไม่มีคนเลย รอแป๊บเดียวรถไฟก็มาเทียบชานชลา

เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลยค่ะ เพราะเป็นสถานีต้นทาง

รถไฟแล่นข้ามอ่าวโอซาก้า

ใช้เวลาไม่นานก็เข้ามาถึงเขตตัวเมืองโอซาก้า แต่เช้าวันนี้เส้นทางรถไฟ Osaka Loop Line มีปัญหา
ขบวนที่เรานั่งมาต้องหยุดกลางทางและวิ่งกลับไปที่สนามบิน พวกเราเลยเสียเวลาในการเปลี่ยนขบวน เพราะต้องนั่งรถไฟขบวนอื่นเพื่ออ้อมไปลง Osaka Station อีกครั้ง

เวลา 11:30 น.เดินทางมาถึง Osaka Station เหนื่อยมากๆค่ะ 
คุณป๋าจองโรงแรม Hotel Gravia Osaka Station ซึ่งอยู่ในสถานีนี้ไว้ เลยไม่ต้องเดินไกล 
ลากกระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมแล้วค่อยกลับมาเช็คอิน เปลี่ยนเสื้อผ้าไปเที่ยวก่อนค่ะ

เวลา 12:30 น.ออกเดินทางไปเที่ยวเมืองฮิเมจิ

สะพานเชื่อมสนามบินคันไซกับตัวเมือง


เวลา 13:30 น. เดินทางมาถึง Himeji Station

ออกมาจากสถานี North Exit ก็เห็นปราสาทฮิเมจิอยู่ด้านหน้าตรงสุดถนนเลยค่ะ

ระยะทางประมาณ 1 กม. จะเดิน นั่งแท็กซี่หรือนั่งรถบัสไปก็ได้

พวกเราขอเดินไปค่ะ เพราะจะหาร้านอาหารทานก่อนเข้าชมปราสาท

ด้านหน้าสถานีมีซอยเล็กๆด้านในมีร้านอาหารหลายร้านค่ะ

พวกเราเลือกร้านนี้เพราะมีภาษาไทย และคนน้อยจะได้ไม่ต้องรอนาน

สั่งข้าวผัดกุ้งและข้าวมันไก่ รีบทานจะได้รีบไปเที่ยวค่ะ

เดินไปปราสาทกันค่ะ


อากาศเย็น เดินสบาย

ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว


ต้นแปะก๊วยสีเหลืองสองข้างทาง

Otemae street

ถนนโล่ง รถน้อยมาก



ที่พื้นมีรูปนกกระสาขาว พวกเราเดินมาใกล้ถึงแล้วค่ะ

มาถึงสามแยกแล้วค่ะ อีกฝั่งถนนเป็นร้านอาหารและร้านขายของ

ปราสาทฮิเมจิอยู่ด้านหน้า

ปราสาทฮิเมจิเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่รอดมาจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538

คูน้ำรอบกำแพงปราสาท

Sakuramon-bashi Bridge


เดินข้ามสะพานไปที่ประตูทางเข้า

Otemon Gate (Front Gate)


เปิดให้เข้าชมปราสาทเวลา 9:00-16:00 น.ปิด 17:00 น.

ผ่านประตูเข้ามาจะเป็นลานกว้าง บริเวณนี้เดินเล่นฟรีค่ะ

Sannomaru Square

 For 2-11 Dec.2022, the winter illumination event have the title "Castle History" Kyoka Suigetsu
 as 2023 will be the 30th anniversary of the castle becoming a World Heritage Site.

วันที่ 2-11 ธันวาคม 2565 เวลา 17:30-21:00 น.มีการจัดงานแสงสีที่ลานนี้ เข้าชมฟรี

We enter the castle via the Otemon Gate into the admission-free third bailey (Sannomaru).
 The Sannomaru contains of a large, cherry tree-lined lawn, and is a popular spot for viewing cherry blossoms usually in early April. A ticket booth can be found at the far end of the bailey,
 marking the entrance to the paid area.


ตอนนี้เวลา 15:00 น. เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง รีบเข้าไปซื้อตั๋วชมปราสาทก่อนค่ะ

Ticket office and Entrance

 The castle is both a national treasure and a world heritage site.

ค่าตั๋วเข้าชมปราสาท 1000 เยน เข้าชมสวน Koko-en 310 เยน ถ้าซื้อรวมลดเหลือ 1050 เยน
Combination Ticket : Himeji Castle + Koko-en garden  ¥1,050


ซื้อตั๋วแล้วก็เดินเข้าไปด้านในเลยค่ะ

ตัวปราสาทสีขาวสวยมาก

Hishi (Water Chestnut) Gate
This is the main entrance and was used by its lords and their high-ranking retainers and guests.

Himeji Castle lies at a strategic point along the western approach to the former capital city of Kyoto. 

แผนที่ปราสาทฮิเมจิ

The first fortifications built on the site were completed in the 1400s, and were gradually enlarged 
over the centuries by the various clans who ruled over the region.

คนส่วนมากเริ่มเดินออกเพราะเหลือเวลาอีกแค่สองชั่วโมงปราสาทก็จะปิดแล้ว

กางแผนที่ดูเส้นทางเดิน มีสองสีคือสีฟ้าและสีแดง เส้นสีฟ้าจะเดินบนกำแพงปราสาทด้วย

พวกเราเลือกเดินเส้นสีแดงค่ะเพราะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
Main Keep Route time 1 hr.

 The castle complex as it survives today was completed in 1609. It is made up of over eighty buildings spread across multiple baileys, which are connected by a series of gates and winding paths.

Loopholes 
There are 997 loopholes built into the walls of Himeji Castle. The tall,rectangular slits were for archers, while the more compact openings-the squares,circles,triangles-were for gunners.

ตรงทางเดินเล็กๆก่อนที่จะขึ้นไปถึงตัวปราสาท เราจะเห็นบริเวณผนังทางซ้ายมือเจาะเป็นช่อง
รูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยมและวงกลม เพื่อเป็นช่องสำหรับใส่ปืน ปาหิน ป้องกันการบุกรุก

จุดเด่นของปราสาทนี้คือทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก ประตูและกำแพงได้รับการออกแบบเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย ระหว่างทางจะมีทางตันหลายแห่ง

พวกเราเดินตามป้ายบอกทางไม่หลงค่ะ ตอนนี้มีการซ่อมแซมตัวปราสาทบางส่วน

เดินลอดใต้อาคารเพื่อเข้าสู่เขตตัวปราสาท

Himeji Castle also known as White Heron Castle (Shirasagijo) due to its elegant, white appearance,
 is widely considered Japan's most spectacular castle for its imposing size and beauty and its well preserved, complex castle grounds. Unlike many other Japanese castles, it was never destroyed by war, earthquake or fire and survives to this day as one of the country's twelve original castles.

 ในบริเวณปราสาทมีต้นซากุระเป็นพันต้นเลยค่ะ มีบางต้นออกดอกเล็กน้อย

ปราสาทฮิเมจิได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1951 และยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับ UNESCO ในปี ค.ศ. 1993 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ ปราสาทมัตสึโมโตะ และปราสาทคูมาโมโตะ และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น 

ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า "ปราสาทนกกระสาขาว" ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง 

เข้าไปชมด้านในปราสาทกันเลยค่ะ

กางแผนที่ออกมาดูจะเห็นว่าปราสาทมี 7 ชัั้น แต่มองจากภายนอกจะเห็นเพียง 5 ชั้น

We enter the main keep through an entrance in the lower floor of the building.
Basement Level

ก่อนเข้าชมปราสาทต้องถอดรองเท้าแล้วเอาใส่ถุงพลาสติกที่ จนท.เตรียมไว้ให้ หิ้วไปด้วยค่ะ

เดินขึ้นบันไดมาที่ชั้น 1 เดินไปตามทางที่กั้นไว้มีลูกศรบอกทาง

We climb upwards via a series of steep, narrow staircases. 
บันไดทางขึ้นแคบและชันมาก พื้นไม้ก็ลื่นต้องเกาะราวไว้ให้ดี

Second Floor of the Main Keep

ด้านในปราสาทเป็นห้องโล่งๆ พื้นไม้สีเข้ม มีหน้าต่างรอบๆ แวะชมวิวจากหน้าต่าง

วิวเมืองฮิเมจิทางทิศใต้มองเห็นสถานีรถไฟด้วยค่ะ


จัดแสดงภาพเครื่องแต่งกายของนักรบโบราณ


ทางเดินจะเป็นวงกลมรอบปราสาท อ่านรายละเอียดของแต่ละชั้นตามแผ่นพับค่ะ

พอเดินจนครบรอบก็ขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปชั้นต่อไป


Third Floor of the Main Keep

ระหว่างเดินชมภายในปราสาทแม่ตุ๊กไม่ค่อยได้ถ่ายรูปค่ะ ส่วนสำคัญของแต่ละชั้นจะบอกไว้ที่ป้าย

พวกเรามาตอนปราสาทใกล้จะปิดเลยคนน้อย เดินสบาย ตรงบันไดไม่แออัด

Fourth Floor of the Main Keep

เราขึ้นมาถึงชั้นสี่แล้วค่ะ แวะชมวิวจากช่องหน้าต่าง

มีการฉายวีดีโอเรื่องของซามูไร

ชั้นด้านบนจะเริ่มมีพื้นที่เล็กลง

Fifth Floor of the Main Keep

มองเห็นอาคารทางเดินบนกำแพงปราสาท


Sixth Floor of the Main Keep

ในที่สุดพวกเราก็เดินขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดแล้วค่ะ ชั้นนี้มีศาลเจ้าเล็กๆ 1 หลัง

Osakabe Shrine
Himeji Castle was built on the site of a Shinto shrine that was relocated to make way for the fortress.
After WW II,the shrine was relocated to the top floor of the keep.

เดินชมจนครบทุกชั้นก็เดินลงไปชั้นล่างค่ะ ใช้บันไดคนละอันกับตอนขึ้น เดินต่อไปยังอาคารข้างๆ

Small Keep

Under the Skin Himeji Castle's Frame

แบบจำลองโครงสร้างของปราสาทซึ่งเป็นไม้ทั้งหลัง

จัดแสดงประวัติความเป็นมาของปราสาท (ห้องค่อนข้างมืด รีบถ่าย ภาพไม่ชัดเลยค่ะ)

ตู้จัดแสดงวัตถุโบราณ


โมเดลปราสาทและตัวเมืองฮิเมจิ


เดินออกจากปราสาททางประตูทิศตะวันตก

ระเบียงชมวิวด้านหน้าปราสาท

ปราสาทฮิเมจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว รอบๆปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย

ปราสาทฮิเมจิถูกทิ้งระเบิดเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 
พื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่จะถูกเผาทำลาย แต่ปราสาทยังคงตั้งอยู่ได้โดยแทบไม่เสียหาย

Himeji Castle is a masterpiece of traditional Japanese wooden architecture.
The castle's central keep,at over 45 meters high,is one of the tallest wooden keeps ever built in Japan.

ปราสาทมีความสูงประมาณ 45 เมตร เป็นปราสาทโครงสร้างไม้สูงที่สุดในญี่ปุ่น

Stone Coffin

Stone Wall

ปราสาทฮิเมจิมีตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับผีเรื่อง "ผีนับจาน"(ซารายาชิกิ) เป็นเรื่องของโอกิกุ สาวใช้ของซามูไรผู้หนึ่งที่ทำจานล้ำค่าของตระกูลซามูไรแตก จึงถูกลงโทษด้วยการโยนร่างลงในบ่อน้ำ
 ช่วงเวลากลางคืนจะมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงโหยหวนดังมาจากบ่อน้ำเป็นเสียงนับจานช้าๆจนครบเก้าใบ
(มีหลายตำนานที่เล่าแตกต่างกันออกไป)

Okiku Well and Japanese ghost story : Banchō Sarayashiki
In the Himeji version, Okiku was a servant of Aoyama, a retainer who planned a plot against his lord. Okiku overheard the plot and reported it to her lover, a loyal warrior. The plot was averted. When Aoyama found out that Okiku had been the cause for his failure, he decided to kill her. So he accused her of having stolen one of ten valuable dishes. She was tortured to death and thrown into the well.

มีตะแกรงเหล็กปิดบ่อน้ำไว้ค่ะ


Fan Curve of Stone Walls : Foldind Fan Slope
The shape of the wall make it both resistant to earthquakes and difficult to climb.

บริเวณทางออกเราจะเดินผ่านผนังกำแพงที่สูงและมีความโค้งซึ่งสามารถต้านทานแผ่นดินไหว
และป้องกันผู้บุกรุกเนื่องจากปีนได้ยาก


Ogi no kobai : The steepening curve of the wall look like the curve of a folding fan.

Ro no mon Gate

เดินออกมาทางประตูเดิมที่เข้ามาตอนแรก : Hishi Gate

Himeji City Zoo

ตอนนี้เวลา 16:30 น. เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ต้องรีบเดินไปชมสวน Koko-en ต่อค่ะ

เดินออกทางประตู Ote mon Gate

ข้ามสะพานแล้วเลี้ยวขวา

เดินไปตามริมน้ำประมาณ 300 เมตร

Himeji Castle Nishi-Oyashiki-Ato Garden KOKO-EN
Opening Hours 9:00-17:00 (Enter limit time before 16:30)

พวกเราซื้อตั๋วรวมจากปราสาทฮิเมจิมาแล้ว รีบเข้าไปชมด้านในเลยค่ะ

เดินเข้าไปด้านในสุดของสวน ผ่านซุ้มประตู

ใบไม้เปลี่ยนสีเกือบทั้งสวนเลยค่ะ

เมเปิ้ลสีแดง

ดูจากแผนที่แล้ว สวนโคโคะเอ็นมีขนาดใหญ่ แบ่งเป็น 13 โซน คงต้องใช้เวลานานกว่าจะเดินชมจนครบ

พวกเราเลยเลือกชมโซนที่ใหญ่ที่สุดและเป็นไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ 

ทางเข้าเดินผ่านอาคารภัตตาคาร Kassui-ken restaurant (for tea and lunch)

เดินเข้าไปในสวนกันค่ะ


Roofed corridor

ทางเดินมีหลังคา เป็นสะพานชมสวนกลางบึงใหญ่

สวนนี้มีน้ำตกอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยใบไม้สีเหลืองแดง

สีสวย มองด้วยตาสวยกว่าในภาพมากๆ

The sound of footsteps on the wooden bridge reminds us of Japanese drums.
It`s traditional cypress wood construction is very impressive as well as the waterfall views from the corridor.

สวนสวยทั้งสองฝั่งทางเดิน

ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลือง ทั่วทั้งสวน


สวนโคโคะเอ็น มีชื่อเสียงคนนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสี


Koko-en is a relatively recently constructed Japanese style garden, which was opened in 1992 on the former site of the feudal lord's west residence (Nishi-Oyashiki).

ในสมัยก่อนสวนโคโคะเอ็นเป็นบ้านพักของขุนนางที่ชื่อว่า นิชิ โอยาชิกิ 
และต่อมาในปี 1992 ก็ได้มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม

Koko-en, with it’s authentic Edo Period buildings and landscaping, 
is used as a backdrop for period TV Dramas and movies.


Koko-en consists of nine separate, walled gardens.
They have different sizes and landscaping themes in style of the Edo Period (1603 and 1868).

สวนโคโคะเอ็นนั้นเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นแบบเก่าแก่ดั้งเดิมของยุคเอโดะ 


เดินตามทางเดินไปยังศาลาริมน้ำ

A large roofed corridor leads to another building on the edge of the water.
" Cho On Sai guesthouse "

 "Momiji-kai" (autumn foliage night viewing) 
There are light-up events at night for autumn foliage,in fall to enjoy its mysterious scenery.

We can enjoy a spectacular view of the waterfall and the pond.

The largest of the gardens is called "The Garden of the Lord's Residence"

สวนญี่ปุ่นรอบสระน้ำนี้สวยและใหญ่ที่สุดในโคโคะเอ็นเลยค่ะ

This is the biggest gardens in Koko-en.
There are about 250 colorful carps in the large pond.

ช่วงกลางคืนมีการจัดแสดงแสงสีที่บริเวณน้ำตกแห่งนี้ค่ะ

Passing through the Seedling Garden, 
where plants are grown for later transplanting around the garden,

The other garden are Tea Ceremony Garden, Flatly Landscaped Garden, Garden of Summer Trees, Garden of Pines, Garden of Flowers, Garden with a Hill and Pond, 
and the final compound contains a Bamboo Garden.

 สวนในโคโคะเอ็นมีการจัดแบ่งไว้ 9 โซน คือ สวนโอยะชิกิ, สวนเพาะกล้าไม้,สวนชาและอาคารพิธีชงชา,สวนลำธาร,สวนฤดูร้อน,สวนต้นสน,สวนดอกไม้,สวนเนินเขาและสระน้ำ,สวนต้นไผ่
พวกเราไม่ได้เดินชมทั้งหมดเพราะตอนนี้สวนจะปิดแล้วต้องรีบหาทางออกค่ะ

เวลา 17:00 น.เดินออกจากสวนมาเก็บภาพปราสาทฮิเมจิก่อนกลับ

เดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ

พระอาทิตย์ใกล้ตกฟ้าเริ่มมืด อากาศก็เริ่มเย็นมากขึ้น

ไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปเมืองโกเบต่อค่ะ

เวลา 18:00 น.เดินทางมาถึง Shin-Nagata Station
 ตอนนี้ฟ้ามืดฝนตก รีบเดินออกจากสถานีรถไฟไปชมหุ่นเหล็กค่ะ อยู่ห่างจากสถานีประมาณ 300 เมตร
" Tetsujin Street "

Daimaru department store in Joy Plaza

 TETSUJIN 28-GO STATUE @ Wakamatsu Park, Nagata, Kobe, Hyogo

The robot Ironman Tetsujin 28 go (Gigantor),18 metre high 50 ton robot statue.
It is one of Japan’s most unique monuments. It has been the star of a popular manga anime since the late 1950’s and was created by Kobe born Mitsuteru Yokoyama. The statue is made life-size.

เท็ตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28 สร้างมาจากการ์ตูนชื่อเรื่องเดียวกัน มีความสูง 15 เมตร น้ำหนักกว่า 50 ตัน โพสต์ท่า สร้างความฮึกเฮิมในการลุกขึ้นต่อสู้กับอุปสรรค

The Kobe Tetsujin Project began with the restoration and revitalization of shopping streets in Kobe after the Great Hanshin Earthquake, which occurred in 1995. 

หุ่นเหล็กยืนเด่นอยู่ตรงลานกว้างบริเวณสวนสาธารณะวากะมัตซึ เขตนากาตะ เมืองโกเบ จ.เฮียวโกะ
 สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองโกเบ
ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1995 ทำความเสียหายอย่างหนักให้กับเมืองโกเบและโดยรอบ

วัตถุประสงค์อีกอย่างของการสร้างหุ่นยนต์ Tetsujin 28-go คือเพื่อที่จะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่
ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนโกเบนี้ให้มากขึ้น เพื่อที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของเมืองโกเบ
 และช่วยเยียวยาฟื้นฟูจิตใจให้ผู้คนเมืองนี้

ตอนนี้ฝนตกหนัก คุณป๋าเลยยกเลิกแผนการเดินทางไปเที่ยวในเมืองโกเบค่ะ

เวลา 19:00 น.เดินทางมาทานอาหารเย็นที่ Kobe Station

จัดกันคนละชามอิ่มมากค่ะ

เดินเล่นในสถานีสักพักก็นั่งรถไฟกลับโอซาก้า

เวลา 20:00 น.เดินทางกลับมาถึง Osaka Station เช็คอินเข้าห้องพัก
Hotel Granvia Osaka in Osaka Station South Gate Building

โรงแรมตั้งอยู่ในสถานีรถไฟโอซาก้า เดินทางสะดวก ราคาไม่แพง ห้องสะอาด อุปกรณ์ครบ
ห้องแบบสามคน คืนละ 4500 บาท คุณป๋าจองไว้ 5 คืนเลยค่ะ ไม่ต้องย้ายของ

ห้องพักอยู่ทางทิศเหนือ มองลงไปด้านล่างคือสถานีรถไฟโอซาก้า

อาบน้ำ เปิดหน้าต่างนอนมองวิวตึกสวยๆ พักผ่อนก่อนค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น