TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2565/08/01

พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า-คอนย่า-คัปปาโดเกีย (Konya to Cappadocia)

 วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565

เวลา 5:30 น.ตื่นเช้าออกมาชมวิวที่ระเบียงหลังห้อง อากาศเย็นสบาย


เริ่มมีบอลลูนขึ้นที่ปามุคคาเล่แล้ว

ที่พักของเราอยู่ใกล้ปามุคคาเล่

เช้านี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งเลยมีบอลลูนขึ้นหลายลูก

เวลา 6:00 น.อาบน้ำ แต่งตัวไปทานอาหารเช้า

วันนี้ต้องเดินทางไกลเลยต้องรีบทานอาหารแต่เช้าค่ะ

บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าเหมือนทุกวัน

ทานอาหารเสร็จ เดินชมโรงแรมเพื่อย่อยอาหาร


สระน้ำแร่หินแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมนี้

The pools of red thermal water -Red travertine

หินแร่ที่นี่เป็นสีแดงต่างจากปามุคคาเร่ น้ำแร่ค่อนข้างร้อนมีควันลอยเลยค่ะ


ทางโรงแรมมีเครื่องสูบน้ำแร่ที่มาจากภูเขาด้านหลังโรงแรม

ท่อส่งน้ำแร่เพื่อนำมาใช้ในห้องพักทุกห้อง

ขึ้นไปเก็บกระเป๋าเช็คเอ้าท์จากโรงแรม 

เวลา 7:00 น.ออกเดินทาง ผ่านตัวเมือง Denizli ด้านหน้าวงเวียนคือมัสยิด Karahayıt Beyazıt Cami

 Mustafa Kemal Atatürk (The motto of the Republic of Turkey)
"Ne mutlu Türküm diyene" 

เวลา 9:00 น.แวะพักรถที่ร้าน Bi Mola Anatolia เมือง Dinar, Afyonkarahisar
ด้านในขายเสื้อผ้า เครื่องดื่ม ขนมและของฝาก

 Turkish yogurt with honey and poppy seeds is traditional dessert in Konya.

มาถึงก็ต้องลองขนมขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ โยเกิร์ต น้ำผึ้ง และเมล็ดฝิ่น 
คนให้เข้ากันแล้วทาน หวานหอมอร่อยมากๆค่ะ ราคาจานละ 25 TL

ออกเดินทางต่อจุดหมายคือเมืองคอนย่าโดยใช้เส้นทาง Konya Denizli Yolu
ถนนเส้นนี้สวยงามมาก สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้


สีขาวคือดอกฝิ่นค่ะ

Poppies field

มีดอกสีแดงแซมนิดๆ

แหล่งปลูกฝิ่นของประเทศ


ดอกลาเวนเดอร์เริ่มบานแล้ว

เวลา 11:00 น.เดินทางมาถึงจุดพักรถและร้านอาหารพื้นเมือง Özkan dinlenme tesisleri

ทานอาหารเที่ยงก่อนค่ะ

เมนูคือ พิซซ่าบางกรอบ ซุป สลัดผัก ข้าว ปีกไก่ปิ้ง

ไก่ปิ้งแห้งๆอร่อยดีค่ะ

ขนมหวานคือพุดดิ้งข้าว (Rice Pudding)

ทานอาหารเสร็จก็แวะซื้อขนม ของฝาก


มาเที่ยวครั้งนี้ทานไอติมวอลล์กันทุกวันเลยค่ะ ช็อคโกแลตที่นี่เข้มข้นมาก

เวลา 14:00 น.เดินทางมาถึงเมืองคอนย่า (Konya)

คอนย่าตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ อยู่ระหว่างเมือง Izmir และ Cappadocia
เป็นเมืองที่นิยมใช้เป็นจุดพักการเดินทาง ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักเซลจุกเติร์ก
หรือที่ยุคนั้นเรียกว่า อนาโตเลีย (Anatolia) เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ


วันนี้เราจะมาชมพิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า

ป้ายรถราง

รถรางสาย 2 วิ่งผ่านด้านหน้าพิพิธภัณฑ์

ทางเข้าอยู่ทางขวามือ พิพิธภัณฑ์เปิดเวลา 9:00-19:00 น. เข้าชมฟรี

นักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ

Museum Shop อยู่ทางขวามือ

Mevlana Museum
It is a Seljuk era Islamic complex that houses a mausoleum, tekke and mosque. It was built in 1274 AD  The complex was expanded and several sections were added during the Ottoman period. Among the most important sections of the complex there is the mausoleum of Jalal ad-Din Muhammad Rumi (Mevlâna or Rumi), a Persian Sufi mystic who lived in the 13th century AD.

 พิพิธภัณฑ์เมฟลานาได้รับการประกาศรับรองให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก
 เป็นที่ตั้งของสำนักพวกเดอร์วิช (Dervish) ศูนย์กลางของนิกายเมฟเลวี (Mevlevi) หรือสำนักลมวน 
ก่อตั้งใน ค.ศ. 1231  โดยเมฟลานา เจลาเลดดิน รูมี 
มีจุดหมายเพื่อชักชวนพลเมืองชาวคริสต์ในคาบสมุทรอนาโตเลีย ให้หันมานับถือศาสนาอิสลาม 

Museum Plan

สุสานของ Ahmed Eflaki Dede ตั้งอยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์

Tomb of  Ahmed Eflaki Dede

Pir Gate ประตูทางเข้าเล็กๆฝั่งทิศตะวันออก

ตอนนี้กำลังปิดซ่อมแซมอาคารทรงกระบอกสีเทอร์คอยส์

เดินผ่านประตูเข้ามา จะพบกับสุสานเล็กๆอยู่ทางซ้ายมือ

บริเวณนี้คือด้านข้างพิพิธภัณฑ์ เดินตรงไปด้านหน้า

สวนกุหลาบสีแดงสด

Mothers' Graveyard

It is the graveyard where buries mothers wives and daughters of Chalabis served at Mevievi Lodge.

สุสานของแม่ ภรรยาและลูกสาวของนักบวชจะอยู่ด้านนอก ด้านบนปกคลุมด้วยดอกกุหลาบ

It is seen that rose and flower motifs used popularly on top of the gravestones. Sikke motifs accepted as a symbol of Mevleviyeh are given place to some gravestones in the form of emblem.

ป้ายสุสานเป็นหินสลักลวดลายดอกไม้สวยงาม

The Mevlâna Museum (the şadırvan and the turquoise dome)

Konya's iconic sight is the distinctive green conical dome above the tomb of 13th-century
 philosopher, poet, and religious leader Mevlana Celaleddin Rumi.

 อาคารที่มีหอสูงรูปทรงกระบอก ปลายแหลม บุกระเบื้องสีเขียวเทอร์คอยส์ (สีประจำของราชวงศ์เซลจุก) ภายในเป็นสุสานของเมฟลานา เจดาเลดดิน รูมี,สานุศิษย์, บิดาและบุตรชายของท่าน
และที่นี่ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวชีวประวัติของท่านด้วย

ศาลาน้ำพุด้านหน้าพิพิธภัณฑ์

The roofed washing fountain (şadırvan) built by Sultan Yavuz Sultan Selim in 1512.

สระน้ำพุใช้สำหรับชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

Water tank with Foutain

มีก็อกน้ำรอบๆสระ เปิดแล้วล้างมือ ล้างหน้าได้เลย เห็นบางคนดื่มด้วยค่ะ

ประตูทางเข้าอยู่ทางขวามือ

ก่อนเข้าสุสาน ต้องสวมถุงพลาสติกหุ้มรองเท้าเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าไปด้านใน

The expansive museum covers approximately 18,000 square meters.

Entrance
The Tomb gate (Türbe Kapisi) leads into the mausoleum and the small mosque.

 Chant room and Silver Gate
The entrance to the mausoleum of Hazreti Mevlana is from the Chant Room. 
The Chant Room is a dome-covered square place. 

เดินผ่านประตูเข้าไปอีกชั้นก็เข้าสู่ห้องโถง ด้านในคนหนาแน่นมาก

There is the mausoleum hall beyond the silver gate, which is roofed by three small domes. 
The third dome is called Post Dome and it adjoins the Green Dome in the north.
 The mausoleum hall is surrounded by a high wall in the east, south and north. 

เมื่อเดินเข้ามาจะพบกับโลงหินของนักบวชเดอร์วิชตั้งอยู่เรียงรายทั้งด้านหน้าและด้านข้าง

โลงหินของบุคคลสำคัญมีผ้าไหมคลุม ด้านบนมีผ้าโพกศรีษะ

All covered with brocade , that were a gift of sultan Abdul Hamid II in 1894. 

อาคารหลักของพิพิธภัณฑ์คือสุสานของท่านเมฟานา เจลาเลดดิน รูมี 
ล้อมรอบด้วยสุสานของบิดา ผู้ติดตาม สานุศิษย์ และบุตรของท่าน

 ฝาผนังด้านในประดับด้วยตัวอักษรและลวดลายสีสันสวยงาม

Mevlana's sarcophagus is placed under the turquoise dome (Kubbe-i Hadra). 
It is covered with brocade embroidered in gold with verses from the Koran. The wooden sarcophagus of Mevlâna, dating from the 12th century, is a masterpiece of Seljuk woodcarving. 
The silver lattice, separating the sarcophagi from the main chamber, was built by Ilyas in 1579.

 สุสานของท่านรูมี มีขนาดใหญ่ที่สุด ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจง บุกระเบื้องหรูหรา
มีหมวกขนาดใหญ่สีเขียวอยู่ทางด้านศรีษะ ซี่งจะหันไปทางทิศที่ตั้งของเมืองเมกกะในซาอุดิอาระเบีย 
หมวกขนาดใหญ่บนโลงศพนี้เป็นหมวกของนักบวชที่เป็นผู้นำ

The four pillars that hold up this monumental dome are furnished with green tiles. 

Next to Mevlâna's sarcophagus are his father Bahaeddin Veled and his son Sultan Veled.

สุสานของบิดาและบุตรชายของท่านอยู่ติดกัน
Mevlana's sarcophagus engraved with his words: 
"Do not seek our tombs on this earth -our tombs are in the hearts of the enlightened."

Inside the mausoleum is not just Mevlana's sarcophagus but that of his wife Kerra Hatun; his children Melike Hatun and Müzafferüddin Emir Ali Çelebi; plus the tombs of six dervishes, the so-called "Soldiers of Horasan," who came to Konya from Balkh with Mevlana.

 There are more than 60 other sarcophagi here,
 the resting places of other family members and eminent Dervishes

Semahane was built during the reign of Sultan Süleyman the Magnificent at the same time as the adjoining small mosque. In this hall the dervishes used to perform the Sema, the ritual whirling dance.

ถัดจากสุสานคือห้องโถง Semahane ซึ่งมีการสร้างต่อเติมพร้อมกับมัสยิดเล็กๆในสมัยสุลต่านสุไลมาน
เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีระบำ Sema (การทำสมาธิของนักบวชเดอร์วิช)

ยอดโดมมีภาพวาดสีสันสดใส

ตรงกลางห้องโถงมีกล่องมุกบรรจุเคราของศาสดามูฮัมหมัด เชื่อว่าเคราของท่านมีกลิ่นหอม
ผู้ที่มีศรัทธาจะได้กลิ่นหอมนี้

A box decorated with nacre is believed to contain the Holy Beard of Muhammad (rose-scented).

มีการเจาะรูเล็กๆที่ตู้กระจกทั้งสี่มุมเพื่อให้คนเข้าไปดมกลิ่นได้

โคมไฟขนาดใหญ่ห้อยตรงกลางห้องโถง

In this room there is also a rare Divan-i-Kebir (collection of lyric poetry) from 1366 
and two fine specimens of Masnavis (books of poetry written by Mevlâna) from 1278 and 1371.
The museum also has a library with more than 1,700 manuscripts and 500 books. a huge collection of artifacts belonging to the Mevlana Order: valuable carpets; metal and wooden objets d'art; and books, including a display of priceless Qur'ans.

ภาพวาด Sema Dance 
คือการทำสมาธิของนักบวชเดอร์วิช (Whirling Dervishes)ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ 
โดยเหล่าสาวกสำนักลมวนจะสวมชุดกระโปรงยาวบานสีขาว สวมหมวกทรงกระบอก 
ออกมาร่ายรำหมุนตัวเป็นวงกลม ให้เข้ากับจังหวะกลอง เสียงขลุ่ยและเสียงดนตรี ท่วงทำนองลี้ลับ 
อันเป็นการแสดงออกซึ่งความตายและการรวมเข้ากันเป็นหนึ่งกับพระอัลเลาะห์ 

Holy Quran
Karamanoglu,1314 Calligraphist: Ismail bin Yusuf

Sanjak Holy Quran  (Ottoman, 16th Century)

รอบๆห้องโถงนี้จัดแสดงและเก็บรักษาหนังสือ บทกวี เครื่องแต่งกายของท่านรูมีไว้
พวกเราดูได้ไม่หมดเพราะคนเยอะมาก

The Masjid is entered from the Cerag Gate.
There are transitions with a small door from Semahane and Huzur-ı Pir sections

The south end has the gate called the Hâmûşân (Silent) Gate, which opens to the Üçler Cemetery. 
ด้านหน้าคือประตูทิศใต้ ด้านนอกเป็นสุสานขนาดใหญ่

ด้านในพิพิธภัณฑ์มีมัสยิดเล็กๆอยู่ทางซ้ายมือใกล้ประตูทางเข้า มีหอมินาเร็ต 1 หอ

The main building includes the tombs of Sinan Pasha, Fatma Hatun and Hasan Pasha, 
which in semahane and masjid sections.

สุสานที่มีหลังคาโดมสามหลังนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์
ด้านหน้าคือบ่อน้ำ Şeb-i Arus pool 
(Şeb-i Arus means nuptial night or the night Mevlana passed away)

Hürrem Pasha Tomb and Kitchen

อาคารหลังเล็กสีขาวทางซ้ายมือคือห้องครัวของสำนัก ด้านในจัดแสดงหุ่นจำลองชีวิตของนักบวชฝึกหัด

มัสยิดเซลิมิเย ตั้งอยู่ด้านนอก ทางทิศตะวันออก

Selimiye Mosque 
The double-minaret mosque is a typical 16th century Ottoman mosque. 
The praying area is roofed by a big dome. There are seven small domes over the portico.

มัสยิดออตโตมันสมัยศตวรรษที่ 16 ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1570 สมัยสุลต่านเซลิมที่ 2
ตรงกลางเป็นโดมขนาดใหญ่ใช้เป็นพื้นที่สวดมนต์  ล้อมรอบด้วยโดมขนาดเล็กเจ็ดโดม

Matbah (Kitchen) Section 
It is on the south west corner of the museum. It was built by Sultan Murat II in 1548. 
Until the lodge was converted to a museum in 1926 the meals were being provided from here.
This section was restored in 1990 and the display was rearranged with mannequins.

There are 17 small cells, each with a small dome and chimney around the west and north sides of the courtyard. These cells were built in 1584 by Sultan Murat III to house the dervishes.

อาคารที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นที่พักของนักบวชเดอร์วิช แบ่งเป็นห้องเล็กๆ 17 ห้อง
ภายในจัดแสดงตำรา เครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของนักบวช 

Selsebil
The fountain which is located in the northern part of the courtyard.

The section where the mausoleum is located is 30.5 m.×30.5 m. and the courtyard is 68 m.×84 m. 
The courtyard of the museum is entered through the gate called the "Dervişân Gate". 

ประตูเดอร์วิชเป็นประตูทางเข้าหลักอยู่ทางทิศตะวันออก 

 Dervish Cells - Rug And Fabric Section 

เดินชมการจัดแสดงของใช้และเสื้อผ้าของแต่ละห้อง

ด้านหน้าห้องมีคำบรรยายละเอียด ไม่ได้ถ่ายรูปด้านในค่ะ เพราะมี จนท.ยืนเฝ้าอยู่

Gate of  Chelebies เดินออกที่ประตูทางทิศเหนือ

ประตูทางเข้ามัสยิดเซลิมิเย

The area around the museum include garden was 6,500 square meters, its place has been rearranged
 and has reached 18 thousand square meters with the sections organized as the "Rose Garden".

ด้านนอกพิพิธภัณฑ์เป็นสวนกุหลาบขนาดใหญ่หลากหลายสีสัน

สวนนี้มีพื้นที่ประมาณ 18,000 ตารางเมตร

มีม้านั่งตั้งตามใต้ร่มไม้ 

ก็อกน้ำนี้น่าจะมาจากแหล่งเดียวกับบ่อน้ำหน้าพิพิธภัณฑ์

Museum Shop

Sema in Mevlana's Garden จัดในสวนทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20:30 น.

Konya Tourist Information Office

รูปปั้นนักบวชเดอร์วิชในชุดระบำเซมา

ด้านข้างเป็นร้านขายของที่ระลึก

เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อค่ะ

ทางขวามือคือสุสานขนาดใหญ่มีต้นไม้ร่มรื่น

เวลา 16:30 น.เดินทางมาถึงเมือง Aksaray

This is located on the highway between Konya and Aksaray provinces; 
about 110 kilometers north-west of Konya and 45 kilometers away from Aksaray.

คาราวานซารายแห่งนี้คือ Sultanhanı ตั้งอยู่ระหว่างเมืองคอนย่าและอักซาราย ประเทตุรเกีย 

Sultanhan caravanserai

คาราวานซาราย (caravanserai, kervansaray) 
คือที่พักของนักเดินทางที่แพร่หลายในดินแดนอิสลาม เป็นภาษาเปอร์เซียมาจากคำว่า
 คาร์ = การต่อสู้, ความยากลำบาก
วาน = การเดินทางที่ยากลำบาก 
ซาราย = ที่พัก, พระราชวัง 
 "คาราวานซาราย" จึงหมายถึงที่พัก(ดุจวัง)ของผู้ที่ตรากตรำมาจากการเดินทาง 
ในบางพื้นที่อาจเรียกว่า "ฮาน" หรือ "ริบัต" ซึ่งมีความหมายเหมือนคำว่า hotel, inn ในภาษาอังกฤษ

Sultanhan caravanserai is one of the most significant tourist attractions in central Anatolia,
 also the largest and best preserved Seljuk caravanserai in Turkiye. 

Main portal made from marble with 13 m. high and stalactite vault.

The Sultanhan caravanserai was built in 1229 by Seljuk sultan Alaeddin Keykubad I when Aksaray was an important stopover along the Silk Road that crossed through Anatolia. 
After suffering partial destruction in a fire, the building was restored and extended in 1278 under the reign of sultan Kaykhusraw III. 

สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยสุลต่านแห่งราชวงศ์เซลจุค 

The monumental caravanserai then became one of the best examples of Anatolian Seljuk architecture. The caravanserai enjoyed its glory times during the Seljuk period, but lost its importance during the Ottoman era. More recent restorations were made during the Republic period and opened to visitors.

Lateral arcade of the main portal

รอยสลักลวดลายบนหินอ่อนละเอียดงดงาม

The monumental entrance gate was made of marble and richly carved. 
(detail of polygon interlace panel on entry portal)

ถ้าเข้าไปด้านในต้องซื้อตั๋วเข้าชม พวกเรามีเวลาน้อยเพราะต้องเดินทางต่อเลยไม่ได้เข้าค่ะ
มัสยิดทรงสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่กลางลานยังคงสภาพสมบูรณ์ 

ด้านในมีห้องพัก คอกสัตว์ โรงอาบน้ำ ร้านแลกเงิน หมอ สัตวแพทย์ และมีบริการที่จำเป็นต่อนักเดินทางโดยผู้เข้าพักไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะคาราวาซานรายสร้างโดยสุลต่านและชนชั้นสูงเป็นทานให้แก่ประชาชน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางการเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงคำภาวนาให้แก่ผู้สร้าง นอกจากนี้ยังมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หากมีสิ่งใดสูญหายทางคาราวานซารายต้องรับผิดชอบ เมื่อถึงเวลาเช้า เด็กเฝ้าอาคารจะปีนขึ้นไปประกาศเรียกให้ทุกคนตื่นเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป 

The wide courtyard is surrounded by storage rooms, stalls, kitchen, and chambers where animals and people were accommodated. There is a small a mosque in the middle of the courtyard which was used by the travellers for prayers. 

Square stone kiosk-Mosque

The covered courtyard was for the winter and had a monumental entrance. During the harsh weather conditions both merchants and their animals were staying indoors in order to stay warm.

คาราวานซารายมักมีประตูสูงกว่าตัวอาคารมากเพื่อให้คณะเดินทางมองเห็นได้แต่ไกล มีขนาดกว้างใหญ่เพื่อรองรับกองคาราวานซึ่งประกอบด้วยพ่อค้า สัมภาระ และฝูงสัตว์พาหนะจำนวนมาก 


The Sultanhani is the second largest Seljuk caravanserai in Turkiye, encompassing 3,900 sq.meters.

Caravanserais in the eastern part of Anatolia were built like small, square castles heavily fortified with thick walls of stone. they tend to be U-shaped and built of masonry and mud brick.

ผนังของคาราวานซารายทำจากหินและอิฐขนาดใหญ่และหนามาก

ผนังสูงสิบกว่าเมตร

อาคารทรงสี่เหลี่ยมสูงใหญ่เหมือนป้อมปราการ
The massive walls and supporting turret-towers give the building the appearance of a fortress.

น้องเหมียวเดินมาเล่นด้วย

รถม้า


ด้านข้างมีร้านขายของที่ระลึก

ร้ายขายกระเป๋า ขายพรม

ขายขนม แม็กเน็ต

เวลา 17:00 น. ออกเดินทางไปเมืองคัปปาโดเกีย

Aksaray Bal Küpü Sugar Factory
It is the first private sector sugar factory in Turkiye to produce sugar from sugar beet
 with an annual sugar beet processing capacity of 750,000 tons.

โรงงานผลิตน้ำตาลยี่ห้อ Bal Küpü ผลิตน้ำตาลจากหัวบีทชูการ์


A sculpture of the Aksaray Malaklısı
It has been placed in the Otogar Crossing on the Aksaray-Konya highway.
The Aksaray Malaklısı is a Turkish breed of large livestock guardian dog, 
from the Aksaray Province (known as the Anatolian lion)

รูปปั้นของสุนัขเลี้ยงแกะพันธุ์มาลาคลีที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองAksaray
รูปร่างสูงใหญ่เมื่อโตเต็มวัยจะสูงประมาณ 70-80 ซม. มีฉายาว่าสิงโตอนาโตเลียน

เวลา 19:00 น.เดินทางมาถึงคัปปาโดเกียแล้วค่ะ ที่พักคืนนี้คือโรงแรมสไตล์ถ้ำ
Fosil Cave Hotel (Ortahisar)

รอเช็คอิน ใช้เวลานานนิดเพราะมีพนักงานคนเดียว

โรงแรมตกแต่งสวยดีค่ะ

ห้องพักของเราอยู่ชั้นล่างด้านหน้า สะดวก ลากกระเป๋าเข้าห้องได้เลย

ด้านในสวยมาก ตกแต่งเหมือนอยู่ในถ้ำ ห้องกว้าง สะอาดและเย็น

1 เตียงควีนไซส์ 1 เตียงเดี่ยว โซฟานั่งเล่น
และมีมุมห้องนั่งเล่นพร้อมเตาผิงด้วยค่ะ

ห้องน้ำกว้างเท่าห้องนอนเลยค่ะ มีอ่างจากุชชี่ ฝักบัว เครื่องทำน้ำอุ่นครบ

เก็บของเสร็จก็ออกมาทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม

สเต็กไก่ ข้าว สลัด ซุป พุดดิ้ง

อาหารรสชาติดีค่ะ ทานกันจนหมด(น่าจะหิวมากด้วย)

ทานอาหารเสร็จก็ออกมาเดินเล่นรอบๆโรงแรม

โรงแรมตั้งอยู่บนเนินเขา ตัวอาคารมีสองชั้น

เจ้าถิ่นพาเดินชมโรงแรม เธอขี้อ้อนและปีนป่ายเก่งมาก

ด้านหลังคือบันไดทางขึ้นไปชั้นบนเพื่อชมวิวบนดาดฟ้า


วิวด้านหน้าโรงแรม เป็นหุบเขา

วิวด้านข้างโรงแรม มองเห็นตัวเมือง Ortahisar

เดินขึ้นไปชมวิวชั้นบน จะเห็นว่าเมืองนี้มีบ้านที่ทำจากหินเป็นจำนวนมาก บางหลังก็เป็นโรงแรม


ห้องพักชั้นบนมีระเบียงและเก้าอี้นั่งชมวิวสวยๆค่ะ

Ortahisar (Turkish: Middle Castle) 
It is a small town in the Ürgüp district of Nevşehir province, in Cappadocia. 

ที่พักของพวกเราตั้งอยู่ในเมือง Ortahisar

Ortahisar has 3,500 inhabitants and is located about 20 km east of the Nevşehir province.

เมือง Ortahisar เป็นเมืองเล็กๆอยู่ในจังหวัด Nevşehir มีประชากรประมาณ 3,500 คน

ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงของจังหวัด  Nevsehir ไปทางตะวันออกประมาณ 20 กม.

The small town is dominated by a 90-metre-high rock-castle in the centre of the town,
 which is called Sivrikaya by the inhabitants.

 It is an extraordinary example of the rock-cut architecture which is typical of the region and is believed to have served as a refuge from attackers in Byzantine times. 

เมืองนี้โดดเด่นด้วยปราสาทหินสูง 90 เมตร ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ชาวบ้านเรียกว่า Sivrikaya
เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมหินตัดซึ่งเป็นแบบฉบับของภูมิภาคนี้ 
และเชื่อกันว่าเคยเป็นที่หลบภัยจากผู้บุกรุกในสมัยไบแซนไทน์
เปิดให้เข้าชมด้านใน เวลา 10:00-18:00 น. ค่าเข้าคนละประมาณ 2 USD

ในตัวเมืองมีมัสยิดและโรงแรมสไตล์ถ้ำหลายแห่ง

Ortahisar is characterised by a series of stone houses. 
It is now much known and many boutique hotels have been created out of its fine old stone houses.

เนินเขาเต็มไปด้วยหินแท่งปลายแหลมมน

มุมถ่ายรูปของโรงแรม

Ortahisar Castle is also one of the highest peaks of the Cappadocia region
 with its height of 110 meters (south side) and 80 meters (north side).
Entrance fee is 2 USD.The path takes you through the castle's inner caves, stairs and outer stairs.
Opening time 10:00-18:00.

เจ้าเหมียวเดินตามไปทุกที่ อ้อนมากจนอยากอุ้มกลับบ้านเลยค่ะ

แสงอาทิตย์ยามเย็น

พระอาทิตย์เริ่มจะตกแล้วค่ะ

ฟ้าเริ่มมืด

ตัวเมืองยามเย็น

เวลา 20:00 น. เดินทางไปชมการแสดงในตัวเมือง Nevşehir

EVANOS Restaurant

ตอนกลางคืนมีโชว์ระบำพื้นเมือง

Turkish night and Folk dance 

ภายในร้านตกแต่งสไตล์ถ้ำ 

ห้องชมการแสดงเป็นห้องโถงหลังคาโค้งเป็นรูปโดม มีที่นั่งรอบๆ

ระหว่างชมการแสดงจะมีของว่างและเครื่องดื่มเสิร์ฟให้ตลอด 

เครื่องดื่มมีน้ำผลไม้ น้ำอัดลม และไวน์

เวลา 21:00 น.เริ่มการแสดงเป็นระบำพื้นเมืองประมาณ 6 ชุด


ระบำหมุนเป็นวงกลมพอปิดไฟแล้วสีสวยมาก ปิดท้ายด้วยระบำหน้าท้อง 
ใช้เวลาในการแสดงทั้งหมดประมาณ 1 ชม.

เวลา 22:30 น.เดินทางกลับที่พัก


เวลา 23:00 น.เดินทางถึงที่พัก ตัวเมืองตอนกลางคืนสวยมากค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น