วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565
เวลา 6:30 น. ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารด้านล่าง
ห้องอาหารเดิมที่ทานเมื่อวานตอนเย็นค่ะ เช้านี้โล่งมากเพราะคนยังไม่ตื่น
ทานอาหารเสร็จก็ออกมาเดินเล่นรอบๆโรงแรม
สระว่ายน้ำใหญ่มาก มีสไลเดอร์ด้วย
โรงแรมตกแต่งธีมฟ้าขาวสวยสะอาดตา
เดินเล่นริมทะเล
มีหาดทรายเล็กๆ ให้ลงไปเดินเล่นได้
สองพ่อลูกขอออกกำลังกายกันสักนิด
ได้เวลาออกเดินทางไปเที่ยวต่อแล้วค่ะ
เวลา 8:00 น.เดินทางมาถึงศูนย์ผลิตเสื้อหนังส่งออก
เข้าไปนั่งชมแฟชั่นโชว์เสื้อหนังมีทั้งแบบผู้หญิงและผู้ชาย
เสื้อแต่ละตัวจะมีหมายเลขห้อยอยู่ ถ้าชอบตัวไหนก็กาลงไปในกระดาษได้เลยค่ะ
ตุรเกียเป็นประเทศที่ผลิตหนังมีคุณภาพสูงและได้ผลิตเสื้อหนังให้กับหลายแบรนด์ดังในอิตาลี
เวลา 9:00 น.เดินทางต่อไปยังเมือง Selçuk เราจะไปชมบ้านพระแม่มารีกันค่ะ
สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่มะกอก
ผ่านทางเข้าเมืองโบราณเอฟฟิซุส
A huge golden statue of the Virgin Mary รูปปั้นพระแม่มารีอยู่ตรงทางขึ้นเขา
บ้านพระแม่มารีตั้งอยู่บนเขาไนติงเกล ขับรถขึ้นไปประมาณ 5 ก.ม.
เวลา 9:30 น.เดินทางขึ้นมาถึงด้านบนแล้วค่ะ ที่นี่เปิดให้เข้าชมเวลา 8:00-18:00 น.
The entrance to the House of the Virgin Mary costs 35 TL.
ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ ทางเดินร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่
ระหว่างทางเดินเราจะเห็นสระขนาดใหญ่รูปทรงกลมมีรอยหยักคล้ายรูกุญแจ
สันนิษฐานว่าเคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีศีลล้างบาป
A key hole-shaped baptismal pool discovered in 1964. Its shape an oversized full-body font.
It is thought that an early Christian use of the location as a baptismal place.
The olive trees on both sides of the way leading to Mary’s House
were planted by Lazarist Fathers in 1898.
ระหว่างทางเดินไปบ้านพระแม่มารีเราจะเห็นต้นมะกอกเก่าแก่อายุเป็นร้อยปีหลายต้น
The statue of Mary at the end of the way of olive trees is a gift of a religious community in Izmir
and dates back to 1867.
The House of the Virgin Mary ( Meryemana Evi, Meryem Ana Evi, Mother Mary's House)
It is a Catholic shrine located on Mt. Koressos (Mount Nightingale) in the vicinity of Ephesus.
Belief that Mary, the mother of Jesus, was taken to this stone house by Saint John
and lived there for the remainder of her earthly life.
The house was discovered in the 19th century by following the descriptions in the reported visions of Blessed Anne Catherine Emmerich (1774–1824), a Roman Catholic nun and visionary, which were published as a book by Clemens Brentano after her death. Father Poulin and Father Jung, from Smyrna rediscovered the building on July 29, 1891, using the book for a guide.
The House is now a small chapel with one single large room.The statue of Blessed Virgin Mary placed on the marble altar displayed in the center. On the right side, a smaller room where the Virgin Mary is believed to have slept. Marian tradition holds that some form of running water used to flow like a canal in the smaller room where the Virgin Mary slept and rested, leading to the present drinking fountain outside the building structure.
บ้านอิฐชั้นเดียวได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปจะพบกับห้องเดี่ยวขนาดใหญ่
ตรงกลางมีแท่นบูชาพร้อมกับรูปปั้นขนาดใหญ่ของพระแม่มารี
ทางด้านขวามีห้องเล็กคิดว่าเป็นห้องนอนของพระแม่มารี มีน้ำไหลผ่านไปสู่บ่อน้ำที่อยู่ด้านนอก
(ด้านในห้ามถ่ายรูป)
บ้านอิฐหลังนี้เชื่อกันว่าเป็นสถานที่สุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 64 ปี
บ้านหลังนี้ถูกค้นพบอย่างปาฏิหารย์ โดยแม่ชีตาบอดชาวเยอรมันชื่อ แอนนา แคทเทอรีน เอมเมอริช
ท่านเกิดนิมิตเห็นภาพบ้านพระแม่มารีและเขียนบรรยายสภาพสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียดเหมือนกับเห็นด้วยตาตัวเอง โดยที่ท่านไม่เคยเดินทางออกไปไกลบ้านเลย เมื่อเสียชีวิตลงก็มีคนพยายามสืบหาจนพบบ้านหลังนี้ในปี ค.ศ. 1891
ตรงทางออกด้านข้างมีรูปภาพภายในบ้านและรูปปั้นพระแม่มารีขนาดเล็ก
Additional lighting has been installed within the vicinity of the shrine for further monitoring of the site.
จุดเทียนอธิษฐานขอพร
เดินลงมาตามทางออกจะพบกับก๊อกน้ำ 3 อัน
A spring water fountain believed by some pilgrims to have miraculous powers of healing or fertility.
มีความเชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเรื่อง สุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก
เราไม่กล้าดื่มขอเอามาล้างหน้าพอค่ะ
ถัดจากก๊อกน้ำคือ "กำแพงอธิษฐาน"
Wishing Wall
กำแพงอธิษฐานเต็มไปด้วยเศษผ้าสีขาวที่คนเขียนคำอธิษฐานแล้วนำมาผูกไว้
A wall covered with a lot of white little pieces of papers and fabrics with the wishes written on them.
We have used by tying our personal intentions on paper or fabric.
เขียนเสร็จก็ผูกไว้ด้านบนเลยค่ะ
ทางเข้าอยู่ด้านบน ทางออกอยู่ข้างล่าง
แวะซื้อของที่ระลึกก่อนกลับค่ะ
เวลา 10:30 น.เดินทางมาถึงเมืองโบราณเอฟฟิซุส
Car Park of the South Entrance of Ephesus
เดินผ่านร้านขายของที่ระลึกเป็นแนวยาว ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ค่าตั๋วเข้าชมเมืองโบราณคนละ 200 TL
Ephesus was a city in ancient Greece. It was built in the 10th century BC.
During the Classical Greek era, it was one of twelve cities that were members of the Ionian League.
The city came under the control of the Roman Republic in 129 BC.
The ruins were designated a UNESCO World Heritage Site in 2015.
ตอนนี้เราอยู่ทางขวามือของแผนที่ (Second Entrance) เราจะเดินชมเมืองไปจนถึงหมายเลข 1 เลยค่ะ
เดินจากทางเข้ามาประมาณ 50 เมตรก็พบกับซากเมืองโบราณแล้วค่ะ
Ephesus was located east of Athens, across the Aegean Sea, in an area of Asia Minor
known as Ionia - home of the Greek Ionic column.
It is a complex marble structure known as the Baths of Varius.
The bath was first built during the Hellenistic age, in the 1st century AD and was destroyed in the 7th Century AD. People could have bath and rest here before they entered Ephesus.
There was a floor heating system invented by the Romans called Hypocaust.
โรงอาบน้ำ
โรงอาบน้ำแห่งนี้สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 และถูกทำลายลงในคริสต์ศตวรรษที่ 7
ผู้คนที่เดินทางมาสามารถอาบน้ำและพักผ่อนที่นี่ก่อนจะเข้าสู่เมืองเอฟฟิซุส
ในโรงอาบน้ำนี้มีระบบทำความร้อนใต้พื้น ที่ชาวโรมันคิดค้นขึ้นมีชื่อว่า Hypocaust
โรงอาบน้ำนี้อยู่ในบริเวณของ State Agora ด้านล่างคือภาพของ Hypocaust (hot room)
State Agora
This is the government Agora. It have been used as a public area and a meeting place for governmental discussions. It was open to public, women and the slaves could attend the meetings here.Three sides were bordered by Stoas, an architectural structure that would provide shelter from intense sun or rain.
The State Agora was renovated multiple times during its history. The first agora on this site was built in the 6th century B.C. in Hellenistic style. The final renovations were done by Emperor Theodusius (between 379-395 A.D.)
ที่ทำการรัฐบาลของเมืองเอฟฟิซุส ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาเป็นลานกว้างขนาดใหญ่มาก สร้างครั้งแรกก่อนคริสตศักราช และมีการบูรณะเรื่อยมาจนครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นในคริสตศักราชที่ 395
ในสมัยก่อนใช้เป็นที่ประชุมมีการอภิปรายหัวข้อทางการเมืองที่นี่
เปิดให้ประชาชนทั่วไป ผู้หญิงและทาสสามารถเข้าร่วมการประชุมได้
Temple of Isis
It is an Egyptian Temple located in the government agora. It was dedicated to the Egypt Goddess Isis. Later in Roman time, it was dedicated to the Roman Emperor Augustus. This was the first temple dedicated to an Egyptian goddess.
วัดอียิปต์ตั้งอยู่ตรงกลาง State Agora สร้างอุทิศให้กับเทพธิดาไอซิสแห่งอียิปต์
แสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเมืองเอเฟซัสกับอียิปต์ในสมัยโบราณ
State Agora อยู่ตรงข้ามกับ Odeon
Freshwater Pipes
These original pipes which are 2000 years old can be seen everywhere in Ephesus.
In Roman time fresh water was supplied to Ephesus from 4 different points by the aquaducts.
The water was delivered to the city by the clay pipes.
ในสมัยโรมันน้ำจืดถูกส่งไปยังตัวเมืองเอฟฟิซุสโดยท่อส่งน้ำที่เป็นท่อดินเหนียว
ท่อที่เราเห็นนี้มีอายุประมาณ 2,000 ปี
Basilica
Just to the north of the State Agora lies the ruin of the Market Basilica of Ephesus.
This structure can be dated back to the 1st century AD. It was destroyed by an earthquake in the middle of the 4th century AD and never rebuilt.
In ancient times the Basilica would have been a major gathering place used primarily for business reasons. It served as the center for stock exchange and commercial trading.
มหาวิหารตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ State Agora
ในสมัยโบราณมหาวิหารเป็นเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าในเชิงพาณิชย์
The two-storey, triple-aisled Basilica Stoa (RoyalColonnade)
The front facade had 67 columns,the side aisles were 4.72 m. and the middle aisles was 6.85 m.wide.
The Basilica would have been a 160 meter long rectangular building situated in front of the Odeon. When it was first built a roof would have stretched above the impressive colonnade to protect from summer heat or rain.
มหาวิหารตั้งอยู่ด้านหน้าโอเดียน ดูจากโครงสร้างเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว 160 เมตร
ตอนแรกสร้างคงมีเสาสูงและหลังคาเพื่อกันแดดฝน
Ionic order columns adorned with bulls’ head figures symbolizing power.
ด้านบนกำแพงประดับด้วยรูปปั้นหัววัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลัง
The Bouleuterion Entrance
The entrance way on the east side of the Bouleuterion, with a crucifix carved on the lintel.
ทางเข้าโอเดียนมีสัญลักษณ์ไม้กางเขนแกะสลักบนหิน
ทางขึ้นไปด้านบน
The stairs lead up to an arched entrance to the upper level of the cavea (seating area).
เดินขึ้นบันไดแล้วก็มาโผล่ที่ทางออกด้านบน : East Arch entrance
วิวจากบนอัฒจรรย์
State Agora and Basilica Stoa
Bouleuterion (Odeon)
The Odeon is a small, semi-circular theater. Originally constructed in the 2nd century A.D
and was destroyed in the earthquake in the 7th Century AD.
The building was used as a concert hall and parliament.
It was well-preserved with a capacity of 1500 seats.
The stage building had two stories and would have been enclosed with a wooden roof. The seats were divided into two sections by a circular walkway known as a "diazoma". Seats in lower sections would have been reserved for important people,because they are wider than seats in the upper level.
Two corridors on each side of the Odeon would have given people access to the higher seats. There are circular gaps among the upper seats shaped like open mouths. These arched entryways are called "Vomiteriums" (vomit is the Greek word meaning mouth). These would have served as entrances for late comers searching for seats.
โรงละครครี่งวงกลมขนาดเล็กที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 2
ใช้เป็นสถานที่สำหรับการประชุมทางการเมือง งานสังคม คอนเสิร์ต และการแสดงละครที่ไม่ใหญ่นัก
จุผู้ชมได้ประมาณ 1,500 คน มีทางเข้า 5 ทาง โดย 3 ทางจะอยู่ด้านหน้าเวที อีก 2 ทางอยู่ข้างบน
เวทีมี 2 ชั้น เดิมมีหลังคาไม้ปกคลุม
The podium is raised about 1 m. higher than the orchestra section.
ที่นั่งแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยใช้ทางเดินแบบวงกลมที่เรียกว่า "diazoma"
ที่นั่งในส่วนล่างจะสงวนไว้สำหรับบุคคลสำคัญเพราะมีขนาดกว้างกว่าด้านบน
ด้านบนทั้งสองฝั่งมีช่องโค้งรูปร่างเหมือนปากที่เปิดอยู่ ทางเข้าโค้งเหล่านี้เรียกว่า "Vomiteriums"
เป็นทางเข้าสำหรับผู้ที่มาสายและคนที่นั่งชั้นสูงๆจะได้ไม่ต้องเดินผ่านคนนั่งชั้นล่าง
It had 5 entrances, three of which would have opened from the stage to a narrow podium.
เดินออกจากโรงละครตรงซุ้มประตูฝั่งตะวันตก
เดินต่อไปตามทางทิศตะวันตก
Temenos (peristyle with double monuments)
Temenos is located between the Odeon and the Prythaneion.
เทเมนอส คือวัดหรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ระหว่าง Odeon และ Prythaneion
เป็นลานเปิดโล่งขนาดใหญ่ 26.97 x 19.86 เมตร ล้อมรอบด้วยเสาไอโอนิกทั้งสามด้าน
ตรงกลางลานมีโครงสร้างยกสูงเป็นขั้นบันได ขนาด 14.98 x 16.14 เมตร
It was constructed by Emperor Agustus in the 1st century AD (also called the Temples of Dea Roma). It was a large open courtyard 26.97 x 19.86 metres with Ionic colonnades on three sides.
In the center of the courtyard stood a raised structure, 14.98 x 16.14 metres, with steps, which may have been the base for an altar or two small temples.
There are three reconstructed Ionic columns and part of
the architrave of the colonnade.
ตรงกลางลานมีเสาไอโอนิก 3 ต้น
Temenos and Prythaneion
The Prytaneum (Prytaneion)
It served as the official administrative building ,where the executive council (Prytanes) ruling Ephesus had their meetings, ate their meals, received official guests and honoured them.
It was also called the municipality building (City Hall).
ที่นี่เป็นศาลากลางหรือศูนย์กลางการบริหารของเมือง ใช้ประกอบพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์,
งานเป็นทางการ ,งานเลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญต่างๆ
The courtyard 33x28 m. and enclosed on all three sides.
Two of the eight columns in front of the building can still be seen today.
Doric columns are part of the architrave of the Prytaneion portico.
It also housed the sacred fire of Hestia, the goddess of the hearth, which was kept perpetually burning as a symbol of the life of the city. The flames would have been taken from Mount Olympus when the city was founded and symbolized the heart of Ephesus.The eternal flame was housed in the ceremonial hall on the north of the building. The base of an altar is still recognizable today.
ทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของ "ไฟศักดิ์สิทธิ์เฮสเทีย" เทพีแห่งเตาไฟ
ซึ่งถูกเผาไหม้ให้ไฟลุกโชติตลอดเวลาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตแห่งเมืองเอฟฟิซุส
เสาโดริกสองต้นที่ยังเหลืออยู่คือส่วนหนึ่งของทางเข้าอาคาร
เดินลงเนินไปทางทิศตะวันตก
ที่นี่ร้อนแดดจัดมากควรเตรียมร่มและหมวกให้พร้อมค่ะ
Caduceus symbol or Medical symbol
The symbol of the hospitals in antiquity was the snake on a staff, according to some Rod of Asclepius (God of Healing)
แท่งหินแกะสลักเป็นรูปงูสองตัวพันคบเพลิง คือสัญลักษณ์ทางการแพทย์
แวะเล่นกับน้องเหมียว
Memmius Monument
This Monument dedicated to the famous general Memmius (grandson of Roman Dictator Sulla).
It was built 50-30 BC by the Ephesians because Memmius saved Ephesus from an invasion
made by Mithridates Euopator, King of Pontus.
It is a two-storey tower-like structure with a conical roof.
อนุสาวรีย์นี้อุทิศให้กับนายพล Memmius สร้างขึ้นโดยชาวเอฟฟิซุสเพราะเขาช่วยเมืองจากการรุกรานของMithridates Euopator กษัตริย์แห่งปอนทัส
The Memmius Monument stands on the north side of Domitian Square, to the right at the junction
with the top of Curetes Street.
Hydreion
The Hydreion was a fountain added to the north side of the Memmius Monument around 200 AD.
Two basins were housed in a semi-circular niche fronted by a three-arched facade
which was supported by four Corinthian columns and flanked by statues.
น้ำพุ Hydreion ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอนุสาวรีย์ Memmius
On the road to Domitian Square we will find pedestals adorned with figures of gods and goddesses.
Nike, the winged goddess of victory.
Nike has her wings spread with a knitted crown of olive leaves which symbolizing victory in one hand and a palm tree branch, symbolizing the fruits of victory in her other hand.
The Domitian square
This square is a center of commerce and meeting places in ancient times.
There is a fountain and an important temples, Temple of Domitian,
from which the square takes its name.
จตุรัสโดมิเชียน เป็นศูนย์กลางการค้าขายและพบปะสังสรรค์ในสมัยโบราณ มีวัดและน้ำพุอยู่รอบๆ
The Pollio Fountain
It was built in 97 A.D by C. S. Pollio and his family in memory of Sextillius Pollio, the builder of the famous aqueduct which carries water to all the fountains in the city. There are an arch and several statues were added to decorate the original structure.
Temple of Domitian
The Domitian Temple was built in the 1st century AD. The temple was 50×100 meters in size.
It was dedicated to the Roman Emperor Domitian.
Two of the figures on columns, depicting Attis and Isis, have survived.
พอออกจากจตุรัสโดมิเชียนก็มาถึงประตูเมืองเป็นทางเดินแคบๆมีเสาขนาบสองข้าง
This gate separates the lower from the upper city of Ephesus
This Gate is located at the beginning of Curetes street.
Hercules Gate
It was built in the form of a triumphal arch towards the second half of 4th century. The gate is named after Hercules due to the reliefs represting Hercules wearing lion's skin. The gate was made narrow to prevent wheeled vehicles like chariots which came from the Magnesian Gate going into the city.
ประตู Hercules ตั้งอยู่ที่จุดเริ่มต้นของถนน Curetes เป็นประตูที่แบ่งเมืองเอฟฟิซุสตอนบนและตอนล่าง
บนเสามีรูปสลักของเฮอร์คิวลิสซึ่งสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 และนำมาติดตั้งที่นี่ในช่วงศตวรรษที่ 4
ในสมัยก่อนประตูนี้เป็นด่านกั้นไม่ให้ย่านพาหนะผ่านเข้าตัวเมืองด้านใน
On the Curetes Street there were basements where statues of Ephesian donators were situated.
There is only one statues still staying there on a basement. It is the statue of Alexandros
who was a doctor served in the hospital of Ephesus (died because of malaria).
รูปปั้นของนายแพทย์อเล็กซานดรอสที่เสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรีย
Curetes street
The Curetes Street lies between the Hercules Gate and the Celsus Library. Its ancient name is Embolos. Curetes name was given by an archeologist.Curetes were noble and well known priests of Artemis
who were believed to help Artemis with new births.
ถนนคิวเรทส์เป็นถนนสายหลักตั้งต้นจากประตูเฮอร์คิวลิสไปสิ้นสุดที่ห้องสมุดเซลซุส
แต่เดิมชื่อว่าถนนเอมโบลอส ต่อมานักโบราณคดีตั้งชื่อเป็นนักบวชผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียง
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า วัด น้ำพุ บ้านคนรวยและรูปปั้นมากมาย
The street was decorated by statues, wealthy homes, shops, memorials, temples and fountains.
Terrace Houses, Hadrian Temple, Scholastica Baths and Hadrian's Gate are located on this.
The Fountain of Trajan (Trajan Fountain)
It was dedicated to Trajan the Roman Emperor and Goddess Artemis. It was built 102-114 AD.
The facade was around 9.5 metres tall with 2 storey.
The pool of the fountain of Trajan was 20x10 meters, surrounded by columns and statues.
These statues were Dionysus, Satyr, Aphrodite and the family of the Emperor.
They are now presented in Ephesus Museum.
The facade of the Fountain of Trajan and a mix of Ionic and Corinthian column styles.
น้ำพุแห่งทราจัน สร้างในปี ค.ศ. 102-114 เพื่อเป็นเกียรติแดจักรพรรดิทราจันแห่งโรมัน
เป็นน้ำพุสองชั้น มีความสูง 9.5 เมตร
ตัวน้ำพุมีขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ตรงกลางเป็นรูปปั้นของจักรพรรดิทราจัน ล้อมรอบด้วยเสา,
รูปปั้นของเทพเจ้ากรีกและครอบครัวของจักรพรรดิ ปัจจุบันรูปปั้นถูกนำไปเก็บที่พิพิธภัณฑ์
It is the entrance to the Scholastica Baths.
Scholastica Bath
Scholastica Baths are one of the important buildings of the Curetes Street.
It was a bath where the famillies washed, cleaned themselves and then talked about daily matters.
They were built in three storeys. There are practically no remains from the third floor.
โรงอาบน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่กลางใจเมืองทำให้ชาวบ้านนิยมมาใช้บริการ มาอาบน้ำและพบปะพูดคุยกัน
The Scholastica Bath is in the center of Ephesus facing the Terrace Houses.
The large roofs that have been erected to protect the Terrace Houses on this hillside.
The so-called Alytarches' Stoa (Hall)
It structure was a 53 m.long , 4-5 m.deep, divided into two sections because of the variance in the ground level.A narrow alley leading up Bülbüldağ Hill.
The stoa hid a row of 12 shops and workshops.
ร้านค้า 12 ร้าน ตั้งอยู่ด้านข้าง Terrace House เรียงกันยาว 53 เมตร ลึก 4-5 เมตร
Terrace Houses
There are six luxurious residential buildings that were in use from the 1st- 7th century AD.
Their location were on the slopes of Bülbüldağı Hill then become known as the Slope Houses.
And also called as "The Houses of the Rich"
บ้านในยุคโรมันบริเวณนี้คือบ้านของเศรษฐี มีอายุระหว่างศตวรรษที่ 1-7 เป็นบ้านสองชั้นตั้งอยู่บนเนินเขา
ปัจจุบันมีบ้านสองหลังได้รับการขุดค้นและสร้างหลังคาขนาดใหญ่ปกคลุมเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์
เสียค่าเข้าชมเพิ่มอีกคนละ 45 TL
The Mosaic-paved sidewalk
This was the area for the pedestrians which belongs to the 5th - 6th centuries. These mosaics are located in front of the Terrace Houses. There were paths on the each side.
Behind the sidewalks there were stores on both sides and finally the terrace houses on the slopes.
The Mosaics on the side walks are displaying a great workmanship.
ถนนคนเดิน(ทางเท้า) สร้างในศตวรรษที่ 5-6 พื้นปูด้วยกระเบื้องโมเสคยาวตลอดแนว
ด้านหลังทางเท้าเป็นร้านค้าและบ้านบนเนินเขา ลวดลายโมเสคละเอียดและสวยงาม
This mosaic covered an impressive area of 285 square meters.
Composed of geometric patterns, with the addition of flowers and birds.
ห้ามเข้าไปเดินด้านในเพื่อป้องกันพื้นโมเสคเสียหาย แต่น้องเหมียวเข้าไปเดินเล่นได้ค่ะ
วิหารเฮเดรียนอยู่ตรงข้ามกับTerrace House
Temple of Hadrian
This temple dedicated to the Emperor Hadrian is considered one of the best preserved and most beautiful structures on Curetes Street. It was constructed in the beginning of the 2nd century AD
to celebrate Hadrian visiting the city from Athens.
To the right of the temple is the stairway up to the entrance to the "Baths of Scholastikia".
The structure is more a monument than a temple.The facade has four Corinthian columns that support
a curved arch. In the middle of this arch is a relief of Tyche, goddess of victory.
วิหารเฮเดรียน
สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 2 เพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิเฮเดรียนแห่งโรม ที่เสด็จมาเยือนเมืองเอฟฟิซุส
A relief bust of the goddess Tyche on the keystone of the entrance archway to the porch.
She was the protector of cities and wears a mural crown depicting the walls and towers of a city.
A relief of the Gorgon Medusa on a marble lunette panel above the doorway to the temple.
The naked female figure with wavy, snake-like hair and outstretched arms, is visible to the top of her thighs. She stands in or emerges from the stem of a fabulous plant,the branches of which spiral out symmetrically to either side of her.
วิหารนี้เหมือนเป็นอนุสาวรีย์เพื่อเชิดชูจักรพรรดิเฮเดรียน ด้านหน้าประกอบด้วยเสาโครินเธียน 4 ต้น
รองรับซุ้มโค้ง ตรงกลางของซุ้มโค้งด้านหน้าเป็นรูปสลักครึ่งตัวของเทพี Tyche ซึ่งเป็นเทพีแห่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง
ด้านในคือวิหารเฮเดรียน เหนือซุ้มประตูของวิหารมีรูปสลักของเมดูซา เป็นสัตว์ประหลาดมีหน้าเป็นมนุษย์ มีผมเป็นงู หากจ้องหน้าเธอโดยตรงจะถูกเปลี่ยนเป็นหิน เชื่อว่าเมดูซาเป็นผู้ปกป้องวิหาร
Latrines : ส้วมสาธารณะประจำเมืองเอฟฟิซุส
These were the only public toilets in Ephesus.There was an open-air pool in the center. People had to pay entrance fees to the public toilets.
The Octagon
It was a vaulted burial chamber placed on a rectangular pedestal. This structure was a monument to the youngest sister of Cleopatra, Ptolemy Arsinoe IV, who was murdered in the city of Ephesus in 41 BC.
ห้องฝังศพวางอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
ตามแผนที่ https://www.ephesusturkey.com/ เราเดินมาได้ครึ่งทางแล้วค่ะ
ขึ้นเนินเลี้ยวขวาไปตามทาง
ต้นทับทิมออกดอกเต็มต้นเลย
Gate of Hadrian
The Hadrian’s Gate is a triumphal arch built in the name of the Roman emperor Hadrian.
It has three arched gates made entirely of white marble with striking ornamentation.
ประตูชัยเฮเดรียน แต่เดิมมีประตูโค้งสามประตูทำด้วยหินอ่อนสีขาวล้วน
Library of Celsus
It was built by Aquila for the famous governor Gaius Julius Celsus as a monument and library.
The library was completed in 135 AD and Celsus’ body was put in a white marble sarcophagus
which was placed in a crypt beneath the building. It is the third largest library in the ancient times.
There were 12,000 papyrus rolls in Celsus Library. It was destroyed in an earthquake
and was rebuilt according to the original on the restorations held between 1970 and 1978.
The square of the Library of Celsus from the lower end of Curetes Street.
On the right is the Gate of Mazeus and Mithridates to the Commercial Agora.
In the background is Mount Koressos (Bülbül Daği, Nightingale Mountain).
หอสมุดเซลซุส
สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่กงสุลเซลซุส บุคคลสำคัญของเมืองเอฟฟิซุส ที่นี่จึงเป็นทั้งหอสมุดและที่ฝังศพของเซลซุส ในสมัยโบราณหอสมุดนี้ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกมีหนังสือกว่า 12,000 เล่ม
อาคารเดิมพังทลายลงเนื่องจากแผ่นดินไหวเหลือเพียงผนังด้านหน้าเท่านั้น
Two storied façade is intensely ornated with 16 columns arranged in pairs.
The columns were richly decorated with the motifs of vegetation and mythological figures.
Four women statues are in the second story basements. Originals are in the museum of Vienna.
From left to the right are Sofia (Wisdom), Arete (Virtue), Ennoia (Insight), and Episteme (Knowledge).
หอสมุดมี 2 ชั้น ด้านหน้าประดับด้วยเสาโครินเธียนเป็นคู่ 16 ต้น
โคนเสาด้านล่างประดับด้วยปูนปั้นรูปเทพี 4 องค์ (ของจริงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเวียนนา) ได้แก่
จากซ้ายไปขวา Sofia (ความฉลาด), Arete (คุณธรรม), Ennoia (สติปัญญา) และ Episteme (ความรู้)
The Gate of Mazeus and Mithridates
This gate is located next to the Celsus Library and opens to Agora. It was built by the slaves Mazeus and Mithridates 2000 year ago for Roman Emperor Augustus. Mazues and Mithridates were both architects.They became slaves of the imperial family of Augustus.
ประตู Mazeus and Mithridates อยู่ทางขวาของหอสมุดเซลซุส เป็นประตูใหญ่มีสามโค้ง
เปิดสู่ตลาดด้านนอก บางครั้งเรียกว่าประตูออกุสตุสหรือประตูใต้
The Brothel lies at the corner of Marble Road and Curetes Street.
Directly across the courtyard from the Library of Celsus.
ซ่องของเอฟฟิซุสซัสเป็นอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณทางต่อระหว่างถนนมาร์เบิลและถนนคิวเรต
อยู่ตรงข้ามกับหอสมุด เชื่อว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1
Marble Street
Street starts from Celsus Library and goes on the far entrance of the Great Theatre of Ephesus.
It was constructed in 1 Century AD and reconstructed with marble blocks in 5 Century AD.
It was named for its white marble pavements.
It reserved for chariots in the middle of the street. Its Eastern side was decorated with Corinthian and Ionic columns. On the west side,there is a 2 meters high Stoa for pedestrian.This was a gift of the Roman Emperor Nero to Ephesus.
ถนนเส้นนี้สร้างจากหินอ่อน เริ่มต้นที่หอสมุดไปสิ้นสุดที่โรงละครใหญ่ สร้างในศตวรรษที่ 1
และมีการก่อสร้างเพิ่มเติมในศตวรรษที่ 5 ปกติถนนนี้ใช้เป็นเส้นทางสัญจรของรถม้า
ทางทิศตะวันตก(ซ้ายมือ) เป็นกำแพงสูงด้านบนทำเป็นทางเดินมีเสาและหลังคาเพื่อให้คนเดิน
มีช่องเล็กตลอดแนวกำแพง
On the western side of the street,there is an advertisement.
ตรงฝั่งทิศตะวันตกของถนนมีข้อความโฆษณาบนพื้นถนน เดินไปดูกันค่ะ
Brothel Sign in Ephesus
This advertisement is known as the first advertisement in the world. It carved in the Marble Street.
The drawing of a left foot first, this meant the brothel was on the left side.
This is interpreted as: At the crossroads, on the left , a woman’s love can be purchased if you have enough money to fill this hole. If your foot was smaller than that size would have been declared underage and denied entry, we kindly direct you to the library on the right.
A box showing that the library was directly across the street.
รูปสลักบนพื้นหินอ่อนนี้เชื่อว่าเป็นโฆษณาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ภาพค่อนข้างจางเพราะมีอายุยาวนาน
การวาดเท้าซ้ายก่อนหมายความว่าซ่องอยู่ทางซ้ายมือ ผู้ชายที่มีเท้าเล็กกว่ารอยนี้จะถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าซ่อง ภาพหัวใจ ผู้หญิงและหลุมวงกลมหมายถึงถ้ามีเงินก็สามารถไปซื้อบริการจากผู้หญิงในซ่องได้ ภาพกล่องแสดงว่าห้องสมุดอยู่ฝั่งขวามือ
Traces of chariots can still be seen here along the road.
Commercial Agora
It was built on the Hellenistic period in the 3rd century BC and enlarged on the Roman period.
It has 11,000 sqm of size, its sides were 110 meters long (the biggest shopping area on that period).
It was very close to the port and there was a direct connection to the Harbour Street.
On four sides there were columned galleries and the floor was paved with mosaics.
The center of the Agora was uncovered and paved with marble slabs.
ตลาดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตศักราช และเป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น
มีพื้นที่ประมาณ 11,000 ตารางเมตร ด้านข้างมีถนนตัดตรงไปสู่ท่าเรือ
ภายในเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งสี่ด้าน มีประตูทางเข้าสามด้าน
Gate of Mazaeus and Mithridates on the south-eastern side, connect to the Celsus Library.
The Commercial Agora had 3 main gates and stood just to the south-west of the theatre.
เดินออกจากตลาดแล้วเลี้ยวซ้ายจะพบกับโรงละครขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงถนนหินอ่อนตัดกับถนนท่าเรือ
It is located on the slope of Panayir (Pion) Hill, opposite Harbor Street.
ทางขึ้นไปบนโรงละคร
The Great Theatre of Ephesus
It is the largest theater in the Asia Minor with accommodation for 25,000 people; 24,000 seats and 1,000 standing places. It was first constructed about 250 B.C, during the reign of Lysimachos.
This Theatre built of marble, has a width of 145 meters, and 30 meters high.
It was originally two-storied and was heightened by one storey at a later date.
โรงละครแห่งนี้เป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ สร้างในยุคกรีกจนมาถึงยุคโรมัน
ได้มีการต่อเติมขยายขนาดจนใหญ่มาก จุผู้ชมได้ 25,000 คน
โรงละครสร้างจากหินอ่อน มีความกว้าง 145 เมตร สูง 30 เมตร
โรงละครนี้ใช้สำหรับจัดการแสดงละคร,เวทีสนทนาปรัชญา ศาสนาและการเมือง,การต่อสู้
ปัจจุบันมีการการจัดคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลกด้วย
This theatre served for dramatic performances, demonstations of a social, political, economic, religious nature and for gladiator games. Today this Theater is famous for modern events and concerts.
Its cavea consisted of 66 rows of stone seats which were divided into 3 horizontal sections by 2 diazomas. The seats at the bottom of the cave had marble backs and they were used by the most important personalities of the city.
Left side
Right side
โรงละครแห่งนี้ใหญ่และสูงมากมีที่นั่ง 66 แถว แบ่งเป็น 3 ชั้นมีทางเดินคั่นระหว่างชั้น
Harbor Street starts from the theater and end at the harbor. It is 530 meters long and there were shops and crosswalks on both sides. This street is also called "Arcadian" and it is about 11 meters wide.
น้องเหมียวนั่งเล่นอยู่ตรงบันไดทางลง
จุดเริ่มต้นของ Harbor Street ไปสิ้นสุดที่ท่าเรือ ระยะทาง 530 เมตร
ความยิ่งใหญ่ของโรงละครแบบเปิดของชาวกรีก
The Great Theatre of Ephesus from Harbor Street
พวกเราไม่ได้เดินไปจนสุดถนนท่าเรือแต่เลี้ยวขวาเพื่อไปทางออก
The Great Theatre of Ephesus from Main Entrance
ทางเข้าหลักอยู่ทางทิศตะวันตก คนละทางกับที่พวกเราเข้าตอนแรก
ตรงประตูทางเข้ามีคนแต่งชุดโบราณรับจ้างถ่ายรูปหลายคน
เวลา 12:00 น.แวะซื้อของที่ระลึกก่อนออกเดินทาง
เวลา 13:00 น.แวะทานอาหารเที่ยงแบบบุฟเฟต์ที่ร้านอาหารท้องถิ่นระหว่างทาง
ทานอาหารเสร็จก็ออกเดินทางไปปามุคคาเร่ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น