วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
เวลา 16:00 น.เดินทางมาถึง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ฝนเพิ่งหยุดตกแต่ฟ้ายังครึ้มอยู่
วันนี้เรามาพักที่แหลมโพธิ์ค่ะ
บ้านพักเป็นเรือนไทยหันหน้าออกทะเล
จากระเบียงห้องมองเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล เข้าห้องนอนพักกันสักตื่นค่ะ
เวลา 17:00 น.ออกมาเดินเล่นริมทะเลด้านหน้าบ้านพัก ฝั่งตรงข้ามคือแหลมโพธิ์
วิวสวยดีค่ะ แต่ชายทะเลตรงนี้ไม่มีชายหาดให้ลงไปเดินเล่นนะคะ
ทางรีสอร์ททำคันปูนกั้นเป็นที่นั่งยาว มีบันไดลงไปทะเล
รีสอร์ทนี้มีสระว่ายน้ำเล็กๆ แต่ตอนนี้คนเต็มสระเลยค่ะ
ขับรถออกจากที่พักไปเที่ยวแหลมโพธิ์กันค่ะ ตรงนี้คือปากน้ำมีสะพานข้ามคลองท่าชนะ
ตรงกลางสวนมีรูปปั้น ต้นไม้ดูรกนิดๆ
อนุสาวรีย์มวยไชยา
ประวัติ
มวยไชยาเป็นศิลปะการต่อสู้ของไทย มีที่มาจาก "พ่อท่านมา" แห่งวัดทุ่งจับช้าง ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี แต่เดิมท่านเป็นทหารอยู่ในกรุงเทพฯ และเบื่อชีวิตการเป็นทหารจึงได้ออกบวชแล้วได้เดินธุดงค์เรื่อยไปจนได้ไปอยู่ที่วัดทุ่งจับช้าง ท่านได้ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ของไทยให้กับประชาชนที่นั่น
หนึ่งในลูกศิษย์ของท่าน ก็คือ ท่านพระยาวจีสัตยารักษ์(ขำ ศรียาภัย) ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้าเมืองไชยา มวยไทยสายพ่อท่านมาจึงถูกเรียกขานจนติดปากว่า "มวยไชยา"
รอบๆลานมีรูปปั้นมวยไชยาหลายท่า
แม่ไม้มวยไทยไชยา 7 ท่า ได้แก่ ปั้นหมัด พันแขน พันหมัด กระโดดตบศอก พันหมัดพลิกเหลี่ยม
เต้นแร้งเต้นกา ย่างสามขุม ท่าที่สำคัญคือท่า เสือลากหาง
เอกลักษณ์ของมวยไชยามีอยู่ 7 ด้าน คือ การตั้งท่ามวยหรือการจดมวย ท่าครูหรือท่าย่างสามขุม
การไหว้ครูร่ายรำ การพันมือแบบคาดเชือก การแต่งกาย การฝึกซ้อมมวยไชยาและแม่ไม้มวยไชยา
เคล็ดมวยไชยาที่ใช้ป้องกันได้ดีที่สุดคือ ป้อง ปัด ปิด เปิด
รูปปั้นหัวหลุดแล้วค่ะ
เดินชมรูปปั้นจนครบรอบ
เน้นท่าศอก
ข้างๆสวนมีตลาดนัดขายอาหาร
แต่ละรูปมีป้ายคำอธิบายกระบวนท่าด้วยนะคะ แต่ก็เสียหายไปหมดแล้ว
รูปปั้นเป็ดสีเหลืองสะดุดตาอยู่ริมทะเล
รูปปั้นการทำไข่เค็ม
ไข่เค็มไชยาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อของเมือง
ไปเดินเล่นริมทะเลค่ะ
หาดแหลมโพธิ์ เป็นชายทะเลที่สวยงามของตำบลพุมเรียง มีคนมานั่งทานอาหารกันด้วย
บริเวณแหลมโพธิ์เป็นสันทรายขนาดใหญ่ มีคลองพุมเรียงไหลผ่าน
ชายหาดสะอาดดีค่ะ
จุดเด่นของบริเวณชายหาดแหลมโพธิ์คือประติมากรรม "ปูม้า" ตัวใหญ่
ปูม้าตัวใหญ่สีฟ้าเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของชายหาดเลยค่ะ
พุมเรียงเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณ ตั้งอยู่ริมคลองพุมเรียงซึ่งไหลลงทะเลที่แหลมโพธิ์
สะพานข้ามคลองตรงปากน้ำ
ที่นี่เป็นแหล่งจอดเรือสินค้าในเส้นทางการค้าข้ามสมุทรตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งเป็นเส้นทางการเดินเรือสินค้าจากจีนไปยังอินเดียและตะวันออกกลาง หรือเป็นที่รู้จักกันในนามเส้นทางสายแพรไหมทางทะเล
มีการสำรวจทางโบราณคดีเมื่อครั้ง พ.ศ.2524 พบซากเรือบริเวณแหลมโพธิ์
เป็นสิ่งยืนยันถึงการเป็นที่จอดเรือของชาติต่างๆจริง
จากการขุดหลุมสำรวจเพื่อสุ่มตัวอย่าง พบหลักฐานที่ชี้ว่าแหลมโพธิ์เป็นเมืองท่าทางพาณิชย์นาวี
ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 18 สืบเนื่องถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาด้วย
บริเวณใกล้ปากน้ำเป็นที่ตั้งหมู่บ้าน และที่จอดเรือของชาวประมง
ทางด้านทะเลฝั่งตะวันออกเป็นดินโคลน มีป่าโกงกางขึ้นอยู่ทั่วไป
ลานโพธิ์ ลานพระพุทธรูป
ชื่อเมืองพุมเรียงอาจจะมาจากชื่อของต้นโพธิ์ แต่ก่อนพื้นที่แถบนี้และริมทะเลทั้งสองด้านฝั่งคลอง เต็มไปด้วยต้นโพธิ์ที่ขึ้นอยู่เรียงราย จึงเรียกชื่อบ้านว่าบ้านโพธิ์เรียง ต่อมาจึงเพี้ยนไปเป็นบ้านพุมเรียง
กลับที่พักค่ะ
ทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารในที่พัก
เลือกทานที่นี่เพราะวิวสวยค่ะ
มีร้านอาหารทะเลชื่อดังอยู่แถวสะพาน พวกเรากลัวคนเยอะเลยกลับมาทานที่นี่ค่ะ
นั่งรออาหารนานมาก ชมวิวจนเบื่อเลยค่ะ
อาหารมาแล้วค่ะ รสชาติพอทานได้แต่แพงมาก
ราคาไม่ตรงกับในเมนู สงสัยขึ้นราคาตามเทศกาล(สงกรานต์)
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564
เวลา 6:30 น. ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นจากระเบียงห้องพัก
ออกมาเดินเล่นยามเช้า
ทะเลสวยมาก น้ำนิ่งเหมือนกระจกเลยค่ะ
มีไกด์เดินพาชมด้วยค่ะ
นายแบบคูลๆ
ศาลา (พลับพลา) ในทะเล อยู่ทางทิศใต้ข้างๆที่พัก
นั่งริมทะเลชมพระอาทิตย์ขึ้น
ร้านอาหารที่ทานเมื่อวานเย็น
บ้านพักหลังใหญ่
บ้านพักในป่าโกงกาง
เวลา 7:30 น.อาบน้ำแต่งตัวเก็บของเสร็จก็เช็คเอ้าท์เดินทางต่อค่ะ
ด้านหน้าทางเข้ารีสอร์ทมีร้านกาแฟชื่อดัง แวะจอดรถถ่ายรูปกันนิดค่ะ
The Foresta CaFe
โดดเด่นที่สะพานแขวน
สะพานแขวนข้ามคลองเล็กๆ
คาเฟ่อยู่อีกฝั่งคลอง
ตอนนี้ร้านยังไม่เปิดค่ะ ขอเก็บรูปสวยๆกันก่อน
ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่เก๋มาก ตั้งอยู่ในป่าโกงกาง
เป็นจุดเช็คอินของเมืองพุมเรียง
ข้างๆร้านกาแฟ มีบ้านพักเป็นหลังๆด้วยค่ะ
ไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปด้านในเพราะร้านปิดค่ะ
บ้านพักริมคลอง มีเรือคายัคด้วย
ป่าโกงกางริมคลอง
รูปสุดท้ายก่อนกลับ
เวลา 8:00 น.ออกเดินทางต่อค่ะ เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 4011
ขับต่อไปบนถนนหมายเลข 4122 ระยะทางประมาณ 20 กม.จุดหมายคือ อ.ท่าฉาง
ผ่านตลาดสด ข้ามคลองท่าฉางแล้วเลี้ยวซ้ายไปวัดจันทาราม
ขับรถเข้าไปจอดด้านในวัด
วัดจันทาราม เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
ตั้งอยู่หมู่ 4 บ้านท่าพิกุล ต.ท่าฉาง อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี
วัดจันทารามเป็นโบราณสถานทางพุทธศาสนาที่สำคัญของอำเภอท่าฉาง
จุดเด่นคือเจดีย์เอนแห่งเดียวของภาคใต้
สันนิษฐานว่าก่อสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับพระเจดีย์วัดบรมธาตุไชยา หรือสร้างขึ้นระหว่างช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15 มีอายุเก่าแก่กว่าพันปี
เจดีย์เอนวัดจันทาราม
สร้างขึ้นเมื่อประมาณปลายกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น อายุราว 300 ปี
ศาลาการเปรียญไม้อายุ 100 กว่าปี ยังมีความแข็งแรงมาก
หอระฆัง
สันนิษฐานว่าพื้นที่แห่งนี้มีเจดีย์รวม 3 องค์ แต่พังแล้ว 1 องค์ ก่อนที่จะเอาช้างมาวางแทน ส่วนอีกองค์มีการสร้างเจดีย์ทดแทนขึ้นใหม่ประมาณ 3 ปี และเจดีย์เอนยังทรงอยู่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมเอาไว้เกือบสมบูรณ์
รูปปั้นช้างมาวางแทนเจดีย์องค์ที่ 3
อุโบสถวัดจันทาราม
เจดีย์เอนวัดจันทาราม เป็นเจดีย์เก่าแก่ สถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย
ลักษณะเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบก่ออิฐไม่ถือปูน ฐานล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 2 เมตร
ฐานล่างจมอยู่ใต้ดินประมาณ 1.5 เมตร สูงจากฐานถึงยอด 9 เมตร
มีมุข 4 ด้าน บนมุขจะมีซุ้ม 4 ซุ้ม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพรไว้ทั้ง 4 ด้าน
ไหว้พระและเดินชมโดยรอบเสร็จก็เดินทางกลับบ้านค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น