TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2561/10/05

5.Oslo กรุงออสโล ชมเมืองหลวงของนอร์เวย์

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561

เวลา 7:30 น.ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ มองออกไปจากหน้าต่างห้องนอนอากาศดีไม่มีฝน
ลองเช็คอุณหภูมิตอนนี้ 2 องศา....หนาวมากกก เตรียมเสื้อกันหนาวพร้อมค่ะ

ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องเดิมเหมือนเมื่อวานตอนเย็น

ทานเยอะหน่อยค่ะ วันนี้ต้องเดินเที่ยวเยอะ


ทานอาหารเสร็จ ออกมาเดินรับลมหนาวด้านนอกกันหน่อย หนาวจับใจจริงๆค่ะ


อากาศดี ดอกไม้สดชื่น


เวลา 8:00 น.ออกเดินทางไปออสโล ระยะทางร่วม 200 กม.น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ชม.


เวลา 9:30 น.แวะพักรถเข้าห้องน้ำก่อนค่ะ

เวลา 11:00 น.เดินทางมาถึงออสโลแล้วค่ะ แต่พวกเราแวะเที่ยวนอกเมืองก่อน
ย่าน BYGDØY


ย่านนี้มีพิพิธภัณฑ์ 4 แห่ง แต่พวกเรามีเวลาไม่มากเลยเข้าได้แค่ 1 แห่งเท่านั้น

The Viking Ship Museum (Norwegian: Vikingskipshuset på Bygdøy) 

Located at Bygdøy in Oslo, Norway.

พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งโบราณ




It is part of the Museum of Cultural History of the University of Oslo.
เปิดทุกวันตามเวลาทำการ

ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ คนละ 100 NOK , นักเรียน ผู้สูงอายุ 80 NOK  , อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าชมฟรี


ตั๋วเข้าชมพร้อมแผ่นพับ

ร้านขายของที่ระลึก อยู่ด้านหน้าตรงข้ามที่ขายตั๋ว


เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์กันเลยค่ะ ตอนนี้เราอยู่ตำแหน่ง A ตามแผนภาพ


พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งเป็นอาคารสูง 2 ชั้น จัดแสดงเรือ 3 ลำ จากยุคของชาวไวกิ้งในช่วงศตวรรษที่ 9
โดยขุดค้นพบตั้งเเต่ปี ค.ศ.1867 ถึง ปี ค.ศ.1903  และได้รับการตั้งชื่อตามสถานที่ที่ค้นพบเรือ


เดินเข้าไปจะพบกับเรือไวกิ้งขนาดใหญ่จัดแสดงอยู่ในโถงข้างหน้าสุดเลยค่ะ
ส่วนหัวเรือมีความสวยงามด้วยการสลักเป็นรูปมังกรเเละหัวงู

คนเยอะมาก หามุมถ่ายรูปยากนิด ยืนรอสักพักจนคนเดินเข้าไปด้านในค่ะ
Museum on the Bygdøy peninsula with the world's best-preserved Viking ships and finds
from Viking tombs around the Oslo Fjord.

The Oseberg ship (Norwegian: Osebergskipet) 
รายละเอียดและประวัติของเรือลำนี้

This ship is a well-preserved Viking ship discovered in a large burial mound at the Oseberg farm 
near Tønsberg in Vestfold county, Norway. 

ตอนขุดค้นเรือได้พบร่างหญิงสาวสองร่างอยู่ในห้องตรงกลางลำเรือพร้อมด้วยสมบัติและของใช้
ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเรือนี้อาจเคยถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพของชาวไวกิ้งมาก่อน

The ship is a Karve, clinker built almost entirely of oak. It is 21.58 m. long and 5.10 m. wide , 
with a mast of approximately 9–10 m.

The Oseberg Ship สร้างด้วยไม้โอ๊ก มีความยาว 22 เมตร กว้าง 5 เมตร เสากระโดงเรือสูง 9-10 เมตรสันนิษฐานว่าสร้างในปี ค.ศ.820 ขนาดลำเรือใหญ่มากต้องใช้ฝีพายประมาณ 30 คน 

เดินชมความงามๆรอบๆตัวเรือ ตรงนี้เป็นท้ายเรือ(ส่วนหางงู)

The museum is most famous for the completely whole Oseberg ship, 
excavated from the largest known ship burial in the world.


ขึ้นมาถ่ายรูปจากระเบียงด้านบนค่ะ 

ภาพมุมกว้างจากด้านบน จะเห็นว่าเรือลำใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของคนด้านล่าง


Other main attractions at the Viking Ship Museum are the Gokstad ship and Tune ship. 
เดินออกไปเลี้ยวซ้ายจะพบกับเรือลำที่ 2 มีชื่อว่า The Gokstad Ship

The Gokstad ship is a 9th-century Viking ship found in a burial mound at Gokstad in Sandar, Sandefjord, Vestfold, Norway.
 สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 900


The Gokstad ship is clinker-built and constructed largely of oak. The ship was intended for warfare, trade, transportation of people and cargo. The ship is 23.80 m. long and 5.10 m wide. 

 เรือลำนี้ยาวกว่าลำแรกแต่มีความกว้างเท่ากัน
ขึ้นไปชมเรือที่ระเบียงด้านบนได้ค่ะ 


It is the largest preserved Viking ship in Norway.

Additionally, the Viking Age display includes sledges, beds, a horse cart, wood carving,
 tent components, buckets and other grave goods

ห้องด้านในสุดจัดแสดงเครื่องใช้ที่ค้นพบได้จากในเรือ Oseberg

Wooden cart
รถม้าทำจากไม้แกะสลักลวดลายละเอียดมาก


ที่ครอบหัวม้า

ไม้แกะสลักรูปหัวงู ที่เราเห็นตรงหัวเรือไวกิ้ง

งานแกะสลักรูปหัวสัตว์ มีความละเอียดงดงามมาก

ดูแล้วน่ากลัวเหมือนกัน

จัดแสดงไว้ทั้งหมด 4 อัน




Sledge เลื่อนหิมะ 


เตียงนอน เครื่องมือและเครื่องใช้


แผนที่แสดงเส้นทางการล่องเรือของชาวไวกิ้งในสมัยโบราณ


ภาพถ่ายแสดงการขุดค้นเรือไวกิ้ง




เครื่องมือที่ใช้ในการขุดค้น


ห้องสุดท้ายจัดแสดงเรือลำที่ 3 ชื่อ The Tune Ship


The Tune ship is of the karve, a small type of longship with broad hull. 
It was found at the Haugen farm on the island of Rolvsøy in the parish of Tune in Østfold, Norway. 
It was discovered in a ship burial mound.

 Tune Ship เป็นเรือลำเล็กที่สุดและเป็นเรือลำแรกที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1867 (สร้างในปี ค.ศ.910)

The Tune ship is fragmentary, but may have been up to 22 m. long. It is 4.35 m.wide 
and would have had 11 or 12 pairs of oars. The length of the keel is approximately 14 m. 
The ship was built around AD 900.

 เรือลำนี้ได้รับความเสียหายอย่างมากระหว่างการดำเนินการขุดค้น เหลือเพียงแค่ซากเรือและกระดูกงูเพราะตอนที่ขุดค้นนั้นโบราณคดียุคใหม่เพิ่งจะเริ่มพัฒนา 


The adventure film The Vikings Alive is screened throughout the day
on the ceilings and wall inside the museum.
ที่ผนังและเพดานห้องมีการฉายภาพยนตร์ให้ชมด้วยค่ะ

The Gokstad small boat

เรือไวกิ้งลำเล็ก ถูกค้นพบในเรือ Gokstad และได้นำมาซ่อมแซมจนสวยงาม

The Gokstad Burial Chamber


บริเวณที่ฝังซากเรือทั้ง 3 ลำ มีลักษณะเหมือนเป็นเต็นท์ครอบตัวเรือเอาไว้

ปี ค.ศ.ที่ค้นพบเรือทั้งสองลำ

เดินชมด้านในพิพิธภัณฑ์จนครบก็ออกมาเดินเล่นด้านนอกกันค่ะ

ตู้นี้น่าจะเป็นร้านขายของมั้งคะ


ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ไม่ใหญ่มากเพราะเป็นที่เก็บและจัดแสดงเรือแค่ 3 ลำ


Bust of Anne Stine and Helge Ingstad outside Viking Ship Museum.
ด้านหลังมีอนุสาวรีย์ครึ่งตัวของบุคคลสำคัญผู้ค้นพบเรือไวกิ้งส่วนที่เหลือ

Anne Stine & Helge Ingstad were the archeologists who in 1960 found remnants of a Viking settlement in L'Anse aux Meadows in the Province of Newfoundland in Canada.

ห้องฝากสัมภาระ


รอบๆบริเวณประดับด้วยดอกไม้สดชื่นดีค่ะ



เสร็จการชมพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง ถ้ามีเวลาน่าไปชมพิพิธภัณฑ์อื่นในย่านนี้ด้วยค่ะ


บ้านเรือนในย่านนี้สวยงามทุกหลัง

เวลา 12:00 น.เดินทางเข้ามาในตัวเมืองออสโล แวะทานอาหารกลางวันกันก่อนค่ะ


เวลา 13:00 น.ทานอาหารเสร็จก็ออกไปเดินเล่นกันค่ะ ตรงนี้คือถนน Stortingsgata เป็นถนนสายสำคัญ
ที่ตรงไปยังพระราชวังขนานกับ ถนนช็อปปิ้งชื่อดัง Karl Johans Gate


สวนสาธารณะกลางใจเมือง ตรงกลางมีสระน้ำและน้ำพุ


ในฤดูหนาวบริเวณนี้จะกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็ง

มีม้านั่งรอบๆสระน้ำ ตอนนี้ฝนตกเลยไม่มีคนมานั่งเล่นค่ะ





ข้างๆสระน้ำมีอนุสาวรีย์ของกวีแห่งชาติชาวนอร์เวย์
Statue of Henrik Wergeland


 งานวรรณกรรมของ Wergeland ถูกนำมาใช้เพื่อนำประเทศไปสู่อิสรภาพจากสวีเดนในปี 1905 
เขาเป็นนักปฏิรูปและได้รับการขนานนามว่า "อับราฮัมลินคอล์นแห่งนอร์เวย์"
"The Abraham Lincoln of Norway."
ปล.ที่สะดุดตาพวกเรามากคือมีอะไรอยู่บนหัวของอนุสาวรีย์


ซูมเข้าไปดูใกล้ๆ...มันคือนกนางนวลค่ะ55


ถัดจากอนุสาวรีย์ไปทางซ้ายมือคือโรงละครแห่งชาติ
The National Theatre in Oslo (Norwegian: Nationaltheatret)
is one of Norway's largest and most prominent venues for performance of dramatic arts.


 Theatre was inaugurated in 1899. The building is designed by architect Henrik Bull, and has served Norway's main arena for stage artists, theatre productions and large celebrations for over 100 years.
สร้างตั้งแต่ ค.ศ.1899 โดยการออกแบบของ Henrik Bull 

Statues of the great Norwegian writers Henrik Ibsen and Bjørnstjerne Bjørnson 
guard the theater's main entrance. 
ด้านหน้าตรงทางเข้ามีอนุสาวรีย์ของนักประพันธ์ชื่อดังชาวนอร์เวย์ 2 ท่าน


ข้างหลังโรงละครแห่งชาติคือพระราชวังหลวง 
พวกเราไม่ได้เดินไปชมค่ะเพราะฝนตกหนักมากเลยเดินย้อนกลับทางเดิม


ห้องสุขาแบบหยอดเหรียญ ห้องน้ำที่ประเทศนี้ไม่แยกชายหญิงเพราะถือว่าทุกเพศมีสิทธิเท่าเทียมกัน


เดินมาจนสุดถนน Stortingsgata ทางฝั่งตะวันออกจะพบกับอาคารที่สวยงามหลายหลัง


Stortinget:The Storting building (Norwegian: Stortingsbygningen)
อาคารรัฐสภานอร์เวย์ (The parliament of Norway)


Norwegian Parliament is the seat of the Storting. The building is located at 22 Karl Johans gate
 in central Oslo, Norway. It was taken into use on 5 March 1866 
and was designed by the Swedish architect Emil Victor Langlet.


อาคารรัฐสภาแห่งนี้มีสีเหลือง รูปทรงของอาคารดูแปลกตาสวยงามและโดดเด่นที่สุดในย่านนี้
 ด้านข้างคือถนนสายหลักและสำคัญที่สุดในออสโล Karl Johans gate

ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเพราะฝนตก พวกเราเลยเก็บภาพกันมากหน่อยชอบอาคารสวยๆแบบนี้ค่ะ

ทางซ้ายของอาคารรัฐสภาคือโรงแรมเก่าแก่ของเมืองนี้ เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1874
Grand Hotel Oslo


ทางฝั่งขวาของอาคารรัฐสภาก็เป็นร้านอาหาร






เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามค่ะ


จุดหมายต่อไปคืออาคารสูงสีน้ำตาลแดงด้านหน้า



มาถึงแล้วค่ะ ศาลาว่าการเมืองออสโล
  The City Hall (north side and  the main entrance)


Oslo City Hall (Norwegian: Oslo Rådhus)
It houses the city council, the city's administration and various other municipal organisations.

 The building  was constructed in 1931-1950, with an interruption during the Second World War. 
It was designed by architects Arnstein Arneberg and Magnus Poulsson.
อาคารนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ใช้เวลาสร้างนานถึง 19 ปี เพราะมีหยุดสร้างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

Oslo City Hall is built of red brick and has two towers, one 63 m. tall and other 66 m. tall.
ตัวอาคารสร้างจากอิฐสีแดงจำนวนมาก มีสองหอคอย สูง 63 เมตร และ 66 เมตร

Astronomical Clock : นาฬิกาดาราศาสตร์อยู่ทางฝั่งขวาของประตูทางเข้า
Bronze sculpture over the entrance is Oslopike (Oslo girl) high up on the wall. 

ยืนรอจนทหารเดินออกมาหมดแล้วเข้าไปชมด้านในกันค่ะ

น้ำพุรูปแปดเหลี่ยมตั้งอยู่ที่ลานด้านหน้า

หงส์ 2 ตัว


ด้านในเข้าชมฟรีตลอดทั้งปี


หยิบเอกสารแผ่นพับประกอบการเดินชมภายใน


เดินตรงเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ ไม่ต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำชม


แผนผังด้านในพร้อมคำอธิบาย

 The Great Hall
โถงนี้ใช้จัดงานสำคัญหลายอย่างที่สำคัญคือเป็นสถานที่จัดพิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
The Nobel Peace Prize award ceremony On December 10 (anniversary of Alfred Nobel's death) 
each year


Henrik Sørensen's Oil painting decorated in the Oslo City Hall 1938-1950.

ห้องโถงใหญ่ได้รับการตกแต่งโดยศิลปินชื่อดังของนอร์เวย์สองคนคือ Henrik Sørensenและ Alf Rolfsen


ด้านหลังคือบันไดทางขึ้นชั้นสอง แต่มีเจ้าหน้าที่ยืนกั้นไว้ห้ามผ่าน น่าจะมีการจัดงานสำคัญอยู่ด้านบน


ระฆังตรงบันไดทางขึ้น


รายชื่อเรือรบหลวง

เดินออกมาชมรูปภาพที่ The Long Gallery


รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (Nobel Peace Prize) เป็นรางวัลโนเบล 1 ใน 5 สาขา ที่ริเริ่มโดยอัลเฟร็ด โนเบล ตั้งแต่ ค.ศ. 1895 โดย Norwegian Nobel Committee ประเทศนอร์เวย์ เป็นผู้คัดเลือกผู้รับรางวัล 


มีพิธีมอบเป็นครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. 1901 พิธีมอบรางวัลมีขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี  ที่กรุงออสโล โดยสมเด็จพระราชาธิบดีของนอร์เวย์เป็นผู้พระราชทานรางวัล

ภาพการมอบรางวัลโนเบล มีบุุคคลสำคัญจากหลายประเทศมาร่วมงานจำนวนมาก


Mother and children

สถาปนิกผู้ออกแบบอาคารนี้

เดินชมแกลลอรี่ตลอดแนวยาวทั้งสองฝั่ง

วิวจากประตูทางเข้ามองออกมาด้านนอก


เดินออกมาทางปีกตะวันตกของอาคารจะพบกับรูปแกะสลักไม้ตลอดแนวผนัง


There are 16 wooden friezes in the City Hall’s courtyard
 made by Dagfin Werenskiold (1892-1977), painter and sculptor.

They show the motifs from Norse mythology: the life of gods and the stories of wisdom and love, war and hate, and magnificent visions of the future.



เดินออกมาด้านนอกอาคารทางฝั่งตะวันตกมีประติมากรรมรูปของ Fridtjof Nansen 
เป็นผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี ค.ศ.1922

Memorial plaque to Fridtjof Nansen and the Nansen passport on an exterior wall of Oslo City Hall.


เดินเลียบอาคารตรงไปทางใต้จะเห็นออสโลฟยอร์ดอยู่ไม่ไกล




Crown Princess Märtha's Square : สวนดอกไม้ข้างศาลาว่าการ


ศาลาว่าการทางฝั่งทิศใต้มีรูปปั้นวางเรียงรายตลอดแนว

Rådhusplassen (The City Hall Square) 
A square located between Oslo City Hall and the Oslofjord in Vika
จตุรัสนี้ตั้งอยู่ระหว่างศาลาว่าการและฟยอร์ดออสโล เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวเมือง

Bronze sculptures of woman and chrildren in the pool on either side of the fountain.

Four woman seat around the fountain.(เก็บภาพมาได้แค่สองรูปค่ะ)


The roof of the eastern tower has a 49-bell carillon which plays every hour.
บนยอดหอคอยฝั่งตะวันออกมีระฆังขนาดใหญ่ 49 ใบ ตีบอกเวลาทุกชั่วโมง


เดินมาที่ท่าเรือ Rådhusbrygge จะเห็นเนินเขาทางซ้ายมือ

Akershus Fortress (Norwegian name: Akershus festning)
เป็นป้อมปราการโบราณอยู่บนเนินเขา ใช้เป็นฐานป้องกันการโจมตีจากสวีเดนและเคยเป็นคุกด้วย
The building of Akershus Castle and Fortress was commenced in 1299 under king Håkon V.
 The medieval castle, which was completed in the 1300s, had a strategical location at the very end of the headland, and withstood a number of sieges throughout the ages. King Christian IV (1588-1648) had the castle modernised and converted into a Renaisssance castle and royal residence.


เสียดายว่าวันนี้ฝนตกหนัก พวกเราเลยไม่ได้ไปเดินเล่นที่ป้อมปราการค่ะ

ทางฝั่งขวามือของท่าเรือคือย่านช็อปปิ้ง Aker Brygge มีร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมาก


เดินเล่นที่ท่าเรือค่ะ อาคารสีเหลืองด้านหลังคือพิพิธภัณฑ์ Nobel Peace Center



เดินทางต่อไปตามถนน Rådhusgata ทางทิศตะวันออกประมาณ 1.5 กม.


The Oslo Opera House (Norwegian: Operahuset) 
โรงอุปรากรแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของออสโลฟยอร์ด

Construction started in 2003 and was completed in 2007. The gala opening on 12 April 2008.
สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.2007 และเปิดอย่างเป็นทางการ วันที่ 12 เม.ย.2008


The angled exterior surfaces of the building are covered with marble from Carrara, Italy 
and white granite and make it appear to rise from the water.
ตัวอาคารด้านนอกใช้หินอ่อนจากอิตาลีและหินแกรนิตสีขาวมองดูเหมือนก้อนน้ำแข็งลอยอยู่บนน้ำ


The Opera House won the culture award at the World Architecture Festival in Barcelona
 in October 2008 and the 2009 European Union Prize for Contemporary Architecture.
It is the largest cultural building constructed in Norway.
อาคารนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านการออกแบบระดับโลกด้วย
และเป็นสิ่งก่อสร้างทางศิลปะวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์


Free for everyone to walk in, please walk on the roof.
มีการเชิญชวนให้คนมาเดินขึ้นบนหลังคาของโรงอุปรากรเพื่อชมวิวด้านบน
แต่ตอนนี้ฝนตกหนักเดินขึ้นไม่ไหวค่ะ พื้นลื่นมาก


หลังคาด้านล่างก็เอียงมากแล้วค่ะ ต้องเดินจิกเท้าตลอดกลัวลื่น


She Lies (Norwegian: hun ligger)
public sculpture by Monica Bonvicini made of stainless steel and glass panels measuring 
ประติมากรรมกลางน้ำ ทำจากสแตนเลสและกระจก


It is a permanent installation, floating on the water in the fjord on a concrete platform, 12 m. above the water surface. The sculpture turns on its axis in line with the tide and wind, offering changing experiences through reflections from the water and its transparent surfaces.
ประติมากรรมลอยอยู่ในน้ำมีฐานกว้าง 12 เมตร สามารถหมุนได้ตามแรงลมและกระแสน้ำ


ฝั่งตรงข้ามคือท่าเรือที่เราจะไปขึ้นกันเย็นนี้ค่ะ


มะปรางเดินตามถ่ายรูปนก




นางแบบตัวอ้วนกลม


เดินชมรอบๆ Opera House


Kirsten Flagstad  was a Norwegian opera singer and a highly regarded Wagnerian soprano. 
Many opera critics called hers "the voice of the century."
นักร้องโอเปร่าชื่อดังชาวนอร์เวย์

อาคารหลังนี้ใหญ่มากด้านในเป็นที่จัดแสดงโอเปร่า การแสดงบัลเล่ต์และยังเป็นโรงละครแห่งชาติด้วย


เวลา 15:00 น.เดินทางมาถึงท่าเรือ DFDS Seaways พวกเราจะเดินทางไปโคเปนเฮเกนค่ะ
ซื้อตั๋วและเช็คอินได้เลย


เวลาซื้อตั๋วต้องใช้พาสปอร์ตด้วยค่ะ ที่ตั๋วแต่ละใบจะมีชื่อของผู้โดยสารต้องเก็บติดตัวไว้ตลอด


เช็คอินเสร็จก็นั่งรอเรียกขึ้นเรือค่ะ มีนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ


เวลา 15:30 น.ประกาศเรียกขึ้นเรือ

เดินขึ้นไปตามทางเลื่อน ตรงประตูเข้าเรือจะมี จนท.ตรวจตั๋วและพาสปอร์ตเหมือนขึ้นเครื่องบินเลยค่ะ


ห้องพักของพวกเราอยู่ชั้นนี้เลยค่ะ ใกล้ประตูทางเข้าเรือไม่ต้องเดินไกล
Cabin 5

ห้องพักแบบ Sea view cabin
เตียง 2 ชั้น ซ้ายขวา ลองดึงลงมาดู ที่นอนนิ่มนอนสบายดีค่ะ


ปุ่มควบคุมอยู่ตรงกลาง มีช่องวิทยุหลายช่อง ห้องน้ำกะทัดรัด สะอาด น้ำอุ่นไหลแรง


เก็บของเสร็จก็ออกไปเดินสำรวจในเรือกันค่ะ เดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้น 9 
แผนผังบนเรือ มีทั้งหมด 12 ชั้น


เปิดประตูออกไปเดินเล่นที่ระเบียงด้านนอก

วิวออสโลฟยอร์ดจากบนเรือ

มองเห็น Oslo Opera House อยู่ไม่ไกล


ดูไกลๆแบบนี้เหมือนก้อนน้ำแข็งโผล่ออกมาจากน้ำเลยค่ะ



วิวทางฝั่งตะวันออก

เหมือนปราสาทอยู่บนเขาเลยค่ะ


Mermaid Bar อยู่ชั้นที่ 12 , Sky Bar อยู่ชั้นที่ 9


วิวทางทิศใต้


เดินขึ้นไปชั้นบนสุดเลยค่ะ



ตอนนี้พวกเราอยู่ชั้นที่ 12 แล้วค่ะ เป็นชั้นบนสุด

ส่วนหัวเรือ


Mermaid Bar : Outside Deck Bar


วิวทางฝั่งตะวันออก มองเห็น ป้อมและปราสาท Akershus 

 The Armed Forces Museum of Norway (Norwegian: Forsvarsmuseet - The Defence Museum)
 is located at Akershus Castle
พิพิธภัณฑ์กองทัพนอร์เวย์


เดินชมวิวรอบๆเรือ

เวลา 16:30 น.เรือแล่นออกจากท่าเพื่อเดินทางสู่โคเปนเฮเกน 

Akershus Fortress and Oslo City Hall
Bye-bye Norway


เรือออกแล้วลงไปเดินเล่นด้านในตัวเรือกันค่ะ

โมเดลเรือ DFDS


รถทุกคันจะลงไปจอดไว้ที่ชั้นล่าง พอไปถึงปลายทางก็ขับรถเที่ยวต่อได้เลย


เดินลงมาที่ชั้น 7 เป็นชั้นที่คนหนาแน่นมากที่สุดเพราะมีร้านอาหาร 
และร้านค้าให้ผู้โดยสารช็อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน สินค้าบนเรือนี้ปลอดภาษีค่ะ 
SEA SHOP : Tax Free

หลังจากเดินช็อปปิ้ง ซื้อขนมและของฝากเสร็จก็ต้องเอากลับมาเก็บที่ห้องค่ะ
ทานขนมและนั่งชมวิวจากห้องพัก

เวลา 18:00 น.พระอาทิตย์ยังไม่ตกค่ะ ฟ้าสีสวย


ขึ้นไปทานอาหารเย็นที่ชั้น 8 มื้อนี้ทานบุฟเฟต์กันค่ะ
หัวละ 275 DKK

7 SEAS Buffet Restaurant

อาหารหลากหลายมากกว่า 50 อย่าง


The Nordic food tradition and local produce.


ลองตักมาทานอย่างละนิด สรุปปลาอร่อยที่สุดค่ะ

ผลไม้สดๆกองเต็มโต๊ะ ขนมหวานมากมาย


Popular soft serve ice cream machine with topping.
มุมนี้ถูกใจเด็กที่สุดค่ะ



เวลา 19:30 น.ทานอาหารเสร็จก็ออกมานั่งเล่นชมวิวด้านนอก


เวลา 20:00 น.พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วค่ะ


ยิ่งมืดอากาศข้างนอกเรือยิ่งหนาวจัดลมก็แรงมาก กลับเข้าไปในเรือกันค่ะ

เดินผ่านเกมส์โซนลงมาที่ชั้น 6 เป็น BUBLE ZONE เข้าไปดูด้านในเป็นห้องพักผ่อนมีสระว่ายน้ำด้วยค่ะ
Play area,Wellness,Pool & Sauna.


มะปรางขอขึ้นมาเล่นเกมที่ชั้น 7 Game Zone


ออกจากห้องเกมก็มาเจอกับ Jack the Pirate (mascot of DFDS)...โชคดีจังเลยค่ะ

เล่นและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเสร็จก็กลับห้องพักค่ะ