เวลา 7:30 น.ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ ก็มาทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม
อาหารเช้ามีน้อย พอรองท้องได้ค่ะ
เวลา 8:30 น.เดินทางออกจากโรงแรม ไปตามถนนหมายเลข 242 ระยะทางประมาณ 4 กม.
ด้านหลังคือสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ทางเดินขึ้นไปชมสะพาน
Friendship Bridge
ทางเดินขึ้นจะไกลหน่อยค่ะ ข้างหน้ามีด่านตรวจถ้าเป็นคนลาวต้องลงชื่อในสมุดบันทึกเวลาเข้าออก
สะพานมีความยาว 1,170 เมตร ถ้าจะเดินไปจนสุดสะพานคงจะเหนื่อยเกินไป
บางคนก็เดินไปถ่ายรูปที่กลางสะพานแล้วเดินกลับค่ะ
สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งแรก (หนองคาย-เวียงจันทน์) เปิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2537
เดินทางต่อไปตามถนน 242 และ 221 ไป อ.ศรีเชียงใหม่ ระยะทาง 60 กม.
ถนนนี้สวยมากค่ะ ทางคดเคี้ยวไปตามริมแม่น้ำโขง
เวลา 9:30 น.เดินทางมาถึง วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
วัดนี้มีพื้นที่กว้างมากๆค่ะ ด้านในมีเจดีย์ เมรุ พิพิธภัณฑ์ และป่าร่มรื่น
พวกเรามีเวลาน้อยเลยขับรถเข้าไปด้านในสุดบริเวณพระอุโบสถ เพื่อไปชมที่มาของชื่อวัดค่ะ
เดินไปด้านหลังพระอุโบสถจะพบกับแม่น้ำโขง
ระเบียงหินหมากเป้ง
ประวัติหินหมากเป้ง
ระเบียงนี้เหมือนหน้าผายื่นเข้าไปในแม่น้ำโขง
หินหมากเป้งก้อนที่ 3 อยู่ใต้ระเบียงนี้
ศาลารูปเหมือนหลวงปู่เทสก์ ด้านในมีหุ่นขี่ผึ้งของหลวงปู่ท่านั่งสมาธิ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นผู่ก่อตั้งวัดนี้ขึ้นมา
ประวัติของหลวงปู่
ระเบียงนี้เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงาม
หินหมากเป้งก้อนที่ 1 และ 2 อยู่ที่ใต้ระเบียงนี้ค่ะ มีคนนำมาลัยมาวางกราบไว้ด้วย
ถ้าต้องการจะเห็นหินให้ครบทั้งสามก้อน ต้องนั่งเรือออกไปชมจากกลางแม่น้ำโขงแบบรูปนี้ค่ะ
เดินลงไปด้านล่างกันค่ะ
ลานหินริมโขง
ลานหินกว้างใหญ่ดีค่ะ
มะปรางนั่งเล่นสบายใจ ไม่กลัวตกน้ำเลยค่ะ
มองไปทางฝั่งลาวไม่มีลานหินสวยๆแบบนี้
เวลา 10:00 น.เดินทางไปตามถนน 211 เลียบแม่น้ำโขง มุ่งหน้าไปยัง อ.สังคม
ระยะทางประมาณ 20 กม.ก็มาถึงทางแยกเข้าวัดผาตากเสื้อ
เวลา 10:30 น.เข้าสู่บริเวณวัดผาตากเสื้อ ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย
แวะจุดชมวิวด้านหน้าวัดค่ะ ตรงนี้น้ำโขงลดจนเริ่มเห็นสันทรายกลางน้ำ
แวะจุดชมวิวด้านหน้าวัดค่ะ ตรงนี้น้ำโขงลดจนเริ่มเห็นสันทรายกลางน้ำ
บริเวณนี้คือจุดชม "เกล็ดพญานาคริมโขง"
ในช่วงที่น้ำลดมากจะเห็นสันทรายเป็นริ้วคล้ายเกล็ดพญานาค
ในช่วงที่น้ำลดมากจะเห็นสันทรายเป็นริ้วคล้ายเกล็ดพญานาค
วันนี้คนมาเที่ยวเยอะมาก รถหนาแน่น เลยต้องหาที่จอดรถด้านนอกแล้วเดินเข้าไปในวัด
รีบเดินไปที่เที่ยวแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของวัดผาตากเสื้อกันก่อนค่ะ
ข้างหน้าคือ Sky Walk มีคนต่อคิวเยอะมาก
ข้อปฏิบัติในการขึ้นชม Sky Walk
ถอดรองเท้าแล้วไปยืนต่อคิวเลยค่ะ
เดินเข้าไปได้รอบละไม่เกิน 20 คน
เดินเข้าไปในพื้นที่ยื่นส่วนกระจกได้ครั้งละ 5 คน ยืนชมวิวไม่เกิน 3 นาที
จากจุดชมวิวบนนี้มองไปทางซ้ายจะเห็นวิวแม่น้ำโขงโค้งยาว
กลางแม่น้ำมีเกาะขนาดใหญ่ทำให้มีลักษณะคล้ายแยกเป็นรูปตัว Y
Sky Walk วัดผาตากเสื้อ เป็นสกายวอร์คกระจกใสแห่งแรกของประเทศไทย
เปิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559
เปิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559
วัดนี้ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 550 เมตร
ทางเดินรวม 16 เมตร เป็นกระจกใส 15 เมตร ยื่นออกไปจากหน้าผาเป็นรูปเกือกม้า
พื้นทางเดินใช้กระจกแทมเพอร์ลามิเนต สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้
วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมากเลยไม่ค่อยทำตามกฏ ไปยืนรวมกันตรงกลางหลายคน
พวกเรารีบถ่ายรูปแล้วเดินออกมาค่ะ
มองจากตรงนี้จะเห็นส่วนที่ยื่นออกจากหน้าผา จริงๆก็ไม่ยาวนักแต่เป็นของใหม่คนเลยตื่นเต้นมาก
ลานรอบๆวัดบนนี้ถือเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงามแห่งหนึ่ง มองเห็นฝั่งลาวชัดเจน
ถ้ามาตอนเช้าในช่วงหน้าหนาวจะเห็นทะเลหมอกด้วยค่ะ
เดินย้อนกลับไปด้านล่าง
มองย้อนขึ้นไปเห็นสกายวอร์ค ยื่นออกมาจากหน้าผา
ลานชมวิวด้านล่าง
หน้าผาชมวิว
หน้าผานี้เป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆค่ะ คนนั่งถ่ายรูปไม่ยอมลุกกันเลย55
วัดผาตากเสื้อ เดิมชื่อวัดถ้ำพระ
หลวงปู่เพชร ปะทีโป ท่านเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระ และได้ก่อตั้งวัดขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.2477
พวกเราไม่ได้เข้าไปไหว้พระด้านในโบสถ์เพราะคนหนาแน่นมาก
เลยไหว้พระ ทำบุญที่ลานด้านหน้าวัดและออกเดินทางไปอุดรธานีต่อค่ะ
เวลา 12:00 น.แวะทานอาหารเที่ยงที่เพิงข้างทาง เป็นไก่ย่างวิเชียรบุรี ส้มตำ ถูกและอร่อยมากๆค่ะ
เวลา 13:00 น.เดินทางมาถึง อ.นายูง จ.อุดรธานี จุดหมายคือวัดป่าภูก้อน
ช่วงเทศกาลทางวัดจะให้จอดรถไว้ข้างล่างแล้วต่อคิวขึ้นรถกระบะเพื่อไปยังวัดด้านบน
ค่ารถคนละ 20 บาท นั่งเกาะท้ายรถแบบนี้ระยะทางขึ้นเขาประมาณ 1.5 ม.
แผนผังของวัดจากเวปไซต์ของวัด
รถแวะที่จุดแรกคือ องค์พระมหาเจดีย์ ซึ่งเป็น 1 ใน "โครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542" ได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์ และพระรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประดิษฐานภายในนี้ด้วย
พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ กำลังมีการบูรณะ
มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในพระเกศพระร่วงโรจน์ศรีบูรพา
ซึ่งเป็นประธานประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์
รูปภาพมุมสูงจากเวปไซต์วัดป่าภูก้อน http://www.watpaphukon.org
เป็นเพราะภาพงดงามนี้ที่ทำให้พวกเราอยากมาชมของจริงสักครั้ง
รถขับขึ้นมาจอดที่ลานด้านล่างวิหาร
ภายในวิหารด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี
ถอดรองเท้าไว้ด้านล่างแล้วขึ้นไปด้านบน เพียงแค่ขึ้นมายืนตรงลานกว้างก็ตื่นตาตื่นใจแล้วค่ะ
พระวิหารที่สวยงามสะดุดตาของวัดป่าภูก้อนมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์
กระเบื้องหลังคามีสีฟ้าโดดเด่น
คนหนาแน่นมากๆค่ะ รีบเข้าไปชมด้านในวิหารกันดีกว่า
พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี หินอ่อนสีขาว ความยาว 20 เมตร
สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นหินขาวอ่อนที่มีความสวยงามและทนทานมากที่สุด
นำมาเรียงซ้อนกันถึง 42 ก้อน ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานถึง 6 ปี
สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในปี 2554
มีประตูทางเข้าออกวิหาร 3 ด้าน ภายในถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
แฝงไปด้วยเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า
รอบผนังภายในวิหารตกแต่งด้วยภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติ เป็นภาพปั้นนูนต่ำหล่อด้วยทองแดงจำนวน 22 ช่อง ซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้าในองค์ชาติต่างๆ 10 ชาติ
โดยด้านบนของทุกภาพแกะสลักบทสวดอิติปิโสช่องละท่อนด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนขาว
ไหว้พระและถ่ายรูปด้านในเสร็จก็ออกมาเดินเล่นรอบๆวิหารกันค่ะ
วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ท้องที่บ้านนาคำ ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี อันเป็นรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 ซึ่งจุดประสงค์หลักของการสร้างวัดคือต้องการปลูกป่าทดแทนเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมกว่า 750 ไร่ รวมถึงการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่โดยรอบวัด เพื่อใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามระเบียบของกรมป่าไม้
ด้านหลังวิหาร
วัดนี้ได้รับหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออาศัยอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
เพื่อจัดตั้งพุทธอุทยาน จนวัดแห่งนี้ได้รับขนานนามว่า "พุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน"
ศาลาที่อยู่รอบๆวิหารก็สวยงาม
เดินวนจนรอบวิหาร
ป้ายขนาดใหญ่หน้าบันไดทางขึ้นวิหาร
ท้าววิรุฬหกเทวราช ยืนอยู่ตรงเชิงบันได
ได้เวลาเดินทางเข้าเมืองอุดรธานีแล้วค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น