วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2561
เวลา 8:00 น.อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
เวลา 8:30 น.เดินทางมาถึงสถานีรถไฟดีจอง GARE DE DIJON
ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก ไปเดินเล่นรอบๆสถานีกันก่อนค่ะ
บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีป้ายแนะนำำสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง
เมืองดีจองอยู่ทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส แคว้นเบอกันดี
อากาศค่อนข้างเย็นประมาณ 15 องศา ใบไม้เปลี่ยนสีเยอะแล้วค่ะ
ใบไม้แดง-ใบไม้เหลือง
รถรางวิ่งในตัวเมือง ทำำให้เดินทางไปที่ต่างๆสะดวก
คนส่วนมากนิยมขี่จักรยาน มีที่จอดและล็อครถได้
ตัวเมืองดูสงบไม่พลุกพล่าน ถ้ามีเวลามากพอ น่าเดินเล่นมากๆค่ะ
ใกล้เวลารถไฟจะมาแล้วค่ะ เข้าไปนั่งคอยในสถานี
เวลา 9:00น.ออกเดินทางโดยรถไฟด่วน TGV (Train A Grande Vitesse) ไปปารีส
ระยะทาง 262 กม.ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง ราคาคนละ 20 ยูโร (รถวิ่งเร็วมาก ไม่สามารถถ่ายรูปวิวด้านนอกได้เลยค่ะ55)
เวลา 10:40 น.เดินทางมาถึงปารีส
TGV ขบวนนี้พาเรามาถึงอย่างรวดเร็ว สะดวก สบาย
Paris Gare de Lyon
เป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่มี 2 ชั้น
ออกไปขึ้นรถบัสด้านนอกค่ะ
เวลา 11:30 น.ทานอาหารกลางวัน ในตัวเมืองใกล้ๆย่านมงมาร์ต
ทานอาหารเสร็จก็เดินไปย่านมงมาร์ต(Montmartre)
ตรงนี้คือสถานีรถไฟใต้ดินมองมาร์ต ป้ายสวยดีค่ะ
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านขนม ร้านไอศกรีม เดินเล่นเพลิดเพลินมากๆ
ย่านนี้เคยถูกเรียกว่า “Mount of Mars” หรือภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนครปารีส
เนินนี้มีความสูงเพียง 130 เมตร แต่เพราะแผ่นดินรอบแม่น้ำแซนน์เป็นที่ราบต่ำ
จึงทำำให้มงมาร์ตดูโดดเด่นเหมือนเป็นภูเขา
ลานด้านหน้าคือ Square Louise Michel ทางซ้ายมือเป็นทางที่ไปขึ้นรถรางเพื่อขึ้นไปด้านบน
แต่พวกเราจะเดินขึ้นบันไดกันค่ะ อยากถ่ายรูปและชมวิวไปเรื่อยๆ
วิหารซาแครเกอร์-มหาวิหารพระหฤทัยแห่งมงมาร์ท (Basilique du Sacre-Coeur de Montmartre)
เป็นโบสถ์และมหาวิหารรองในคริสตจักรโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระหฤทัยของพระเยซู
ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำำคัญของปารีส
สถาปนิกเจ้าของโครงการคือ โปล อะบาดี เรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบโรมัน-ไบแซนไทน์
(Romano-Byzantine) สร้างเสร็จสิ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปีค.ศ.1919
ซาแครเกอร์ แปลว่า โบสถ์หัวใจศักดิ์สิทธิ์ ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์อัศวินขี่ม้าขนาบ 2 ด้าน
ด้านซ้ายคือเซนต์หลุยส์ ส่วนด้านขวาคือ Joan of Arc วีรสตรีผู้โด่งดังที่สุดของฝรั่งเศส
ตัวโบสต์ก่อสร้างจากหินปูนประเภททราเวอร์ทีน ซึ่งมีเหมืองตั้งอยู่ที่เมือง ชาโต้-ลองดง ในเขตชานเมืองปารีส โดยคุณสมบัติพิเศษของหินชนิดนี้จะมีการคายแคลเซียมออกมาเป็นระยะ ทำำให้สิ่งปลูกสร้างคงความขาวได้นานในสภาวะภูมิอากาศต่างๆ
พักชมวิวด้านล่าง
ภายในวิหารมีภาพโมเสกขนาดใหญ่ที่สุดของโลกที่ทุกคนควรไปชมคือ Great Mosaic of Christ
ค่าเข้าชมด้านในวิหารคนละ 5 ยูโร
ค่าเข้าชมด้านในวิหารคนละ 5 ยูโร
ขอบคุณภาพจาก wikipedia
ต้องเดินขึ้นไปอีกแต่คุณป๋าหมดแรงและมีเวลาไม่มาก เลยเดินเล่นรอบๆวิหารด้านล่างค่ะ
ข้างบนนี้อากาศเย็นสบายมากๆไม่มีแดด ฝนเพิ่งหยุดตก มองไปเห็นวิวของปารีสได้ค่อนข้างไกล
บริเวณทางเดินด้านล่างนี้จะมีพวกคนผิวดำำจำำนวนมากมาหลอกเอาเงินนักท่องเที่ยว ด้วยการขอมือเราให้ช่วยถือเส้นด้ายสีต่างๆ หรือบางทีก็เอามาผูกข้อมือแล้วบังคับให้เราซื้อด้วยราคาแพงมาก เราต้องเดินหนีให้เร็วที่สุดไม่ต้องไปมองหน้าหรือไปสัมผัสมือพวกนี้โดยเด็ดขาด ไม่ต้องไปพูดด้วยจะปลอดภัยค่ะ
ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางเข้าไปกลางเมืองปารีสเราจะไปล่องเรือกันค่ะ
ผ่านถนนชอง เอลิเซ่(Champs Elysees)
ผ่านถนนชอง เอลิเซ่(Champs Elysees)
เวลา 13:30 น.ไปล่องเรือบาโต มูซ(Bateaux Mouches) ล่องไปตามแม่น้ำแซนน์ที่ไหลผ่านใจกลางกรุงปารีส
Bateaux ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าเรือ Mouches แปลว่าแมลงวัน
แต่มูซในที่นี้มาจากคำำว่า la Mouche ซึ่งเป็นย่านทางตอนใต้ของเมืองลียง โดยที่นี่ได้มีการสร้างเรือ Bateaux Mouches ลำำแรกขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1867 เพื่อพาผู้คนล่องเรือในนิทรรศการ Universelle ที่เมืองลียง หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง Jean Bruel ผู้ก่อตั้งบริษัท Bateaux Mouches เห็นว่าบ้านเมืองยังมีความงดงามมาก จึงได้สร้างเรือบาโต มูซขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของกรุงปารีสด้วยการล่องเรือในแม่น้ำแซนน์
หลังจากซื้อตั๋วแล้ว เราจะได้แผนที่การล่องเรือคนละใบค่ะ (เป็นภาษาไทยด้วย)
ที่ตั้งกรุงปารีสนั้นจะมีแม่น้ำแซนน์ไหลผ่านใจกลางเมือง เรือจะแล่นผ่านสถานที่สำคัญและสวยงามมากมาย
ท่าเทียบเรืออยู่ตรงข้ามหอไอเฟล บริเวณสะพาน Pont des Invalides
Bateaux Mouches เป็นเรือสองชั้น ชั้นล่างมีกระจกโดยรอบและมีเครื่องทำำความร้อน
สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้ที่ดาดฟ้าชั้นบน การล่องเรือจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที
ผ่านสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Pont Alexandre III) ซี่งเชื่อมฝั่งหอไอเฟลกับฝั่งชองเอลิเซ
กล่าวกันว่าเป็นสะพานที่สวยและหรูหราที่สุดในปารีส
ตัวสะพานประกอบด้วยโคมไฟหรูหรา รูปปั้นทูตสวรรค์ เทพธิดาที่ดูอ่อนช้อยงดงาม
เสาที่อยู่ตรงหัวสะพานทั้งสองข้างมีเพกาซัสสีทองโดดเด่น
สะพานสร้างในปี ค.ศ.1896-1900 โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย
ที่ได้ทำำสัญญาพันธมิตรกันในปี ค.ศ.1982 มีความยาว 107 เมตร
Palais Bourbon (Assemblee Nationale) ตึกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ตำำหนักบูร์บง
Pont de La Concorde
เรือจะวิ่งคนละช่องทางกันทั้งไปและกลับ
พวกเราลงมาปักหลักถ่ายรูปกันที่ท้ายเรือค่ะ มุมกว้างดีไม่มีคนบังวิว
มีสะพานข้ามแม่น้ำแซนน์หลายอัน ทั้งแบบเดินข้ามและรถข้าม
Musee d'Orsay-พิพิธภัณฑ์ออแซร์
เป็นที่เก็บรวบรวมศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ที่สวยงามและมีชื่อเสียง
เช่นผลงานของ โมเน่ต์ มาเน่ต์ เลอนัวร์ โกแกง แวนโก๊ะ เซซานน์
เช่นผลงานของ โมเน่ต์ มาเน่ต์ เลอนัวร์ โกแกง แวนโก๊ะ เซซานน์
Institut de France-สถาบันฝรั่งเศส มีสะพานคนเดิน Pont des Arts เชื่อมกับฝั่งพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
Pont Neuf-ปงเนิฟ สะพานเก่าแก่ที่สุดในปารีส ยาว 232 เมตร กว้าง 22 เมตร
เปิดใช้งานตั้งแต่ปี ค.ศ.1607
พระบรมรูปสำำริดพระเจ้าอองรีที่ 4 :Henry IV of France ทรงหลังม้า อยู่ตรงปลายปงเนิฟ
ปงเนิฟเป็นสะพานที่แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเชื่อมฝั่งซ้ายกับเกาะอิลเดอลาซีเต้ (Ile de la Cite)
กับอีกส่วนเชื่อมเกาะกับฝั่งขวาของแม่น้ำแซนน์
โบสถ์ Notre Dame de Paris ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำแซนน์
เกาะเล็กๆอีกส่วนด้านขวาคือ คือ Ile Saint Louise
โดยเรือจะย้อนกลับตรงปลายแหลมสุดของเกาะนี้
Pont de la Tournelle เป็นสะพานเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแซนน์กับ Ile Saint Louise
จุดเด่นคือที่ปลายสะพานมี A statue of St.Genevieve, the patron of Paris
สวนสาธารณะบนเกาะกลางแม่น้ำในจตุรัสแวร์กาลอง
Conciergerie กงซีแยร์เฌอรี หรืออีกชื่อคือ Palais de la Cite
เป็นพระราชวังหลวงของกษัตริย์ฝรั่งเศส ต่อมาในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสได้ถูกใช้เป็นเรือนจำำเพื่อคุมขังนักโทษ
ปัจจุบันตัวอาคารเป็นส่วนหนึ่งของศาลฎีกา
ขากลับเรือจะแล่นเลียบอีกชายฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแซนน์
ปงเนิฟอีกส่วนหนึ่งที่อยู่คนละฝั่งของเกาะ อนุสาวรีย์พระเจ้าอองรีที่ 4 โดดเด่นมองเห็นแต่ไกล
ย้อนกลับเส้นทางเดิมแต่แล่นคนละฝั่งแม่น้ำ วิวเหมือนเดิม
วันนี้อากาศดีไม่มีแดด ลมก็เย็น ทำให้การล่องเรือทริปนี้สนุกมากๆค่ะ
ใกล้จะถึงท่าเรือแล้วค่ะ
นักท่องเที่ยวเกือบทุกคนรีบเก็บภาพคู่หอไอเฟล
ท่าเรืออยู่ใกล้ๆ Pont de l’Alma สถานที่เกิดอุบัติเหตุของเลดี้ไดอาน่า
หอไอเฟลจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามท่าเรือพอดี
ตรงนี้จะเป็นมุมที่ได้ถ่ายรูปกับหอไอเฟลใกล้ที่สุด
มะปรางเก็บภาพหอไอเฟลทุกมุม
ภาพสุดท้ายก่อนกลับ สรุปใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆค่ะ
เวลา 15:00 น. ออกเดินทางไปยังพระราชวังแวร์ซายย์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส
ระยะทาง 20 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.เพราะในเมืองรถติดมากค่ะ
เวลา 16:00 น.มาถึงทางเข้าพระราชวังแวร์ซายส์ : Chateau de Versailles
Chateau de Versailles Map แผนผังภายในพระราชวังรวมไปถึงสวนทั้งหมด
ด้านหน้าตรงประตูทางเข้าเราจะเห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ และเป็นกษัตริย์ที่ทรงอำำนาจยิ่งใหญ่ของยุโรป และเป็นยุคสมัยที่ทำำให้วัฒนธรรมฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศส การแต่งกายด้วยรสนิยมอันหรูหราได้รับการยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน
พระราชวังแวร์ซายได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์ และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมห้ศจรรย์ของโลกในยุคปัจจุบัน
วังนี้เป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1789
และต่อมาในปี ค.ศ.1895 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนพระราชวังให้เป็นพิพิธภัณฑ์
มีทหารถือปืนเดินตรวจความเรียบร้อยทั่วบริเวณ
ประตูเหล็กสีทองอร่ามเด่นมากค่ะ แต่ประตูนี้ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้า
เราต้องเข้าทางประตูด้านข้าง เพื่อเข้าไปตรวจกระเป๋าและผ่านเครื่องสแกนก่อนค่ะ
อาคาร A อยู่ทางซ้าย สำำหรับนักท่องเที่ยวที่มาแบบเดี่ยว
อาคาร B อยู่ทางขวาสำำหรับนักท่องเที่ยวแบบหมู่คณะ
ห้ามนำำขากล้องหรือไม้เซลฟี่เข้าไปโดยเด็ดขาด
ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือ อาคาร A
ค่าเข้าชมพระราชวังคนละ 15 ยูโร ค่าชมสวน คนละ 10 ยูโร
เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าฟรีค่ะ
เข้าห้องน้ำก่อนเข้าชมวัง เพราะด้านในไม่มีห้องน้ำค่ะ
เดินขึ้นบันไดไปชมด้านในพระราชวังกันค่ะ
แผนผัง ห้องต่างๆในพระราชวัง
เดินเข้าที่ห้องหมายเลข 1 ก่อนค่ะ เป็นห้องหินอ่อนอิตาลีประดับขอบด้วยสีทอง
ภายในพระราชวังแวร์ซายมีทั้งหมด 700 ห้อง
ภาพวาด 6,123 ภาพ และงานแกะสลักทั้งหมด 15,034 ชิ้น
เป็นศิลปะแบบ Rococo (Louis XIV Style) เน้นสีทอง มีรูปปั้น ภาพวาดบนเพดาน ผ้าหลุยส์
Hercules drawing-room : ห้องเฮอร์คิวลิส
เพดานเป็นภาพวาดเรื่องราวของเทพเจ้าเฮอร์คิวลิส ผู้ทรงพลังตามตำำนานกรีก
สถาปนิกผู้ออกแบบห้องนี้ คือ โรแบร์ เดอ คอท
ภาพวาดพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์
ภาพวาดพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
เดินออกไปห้องถัดไปค่ะ
ห้อง Venus salon ใช้เป็นห้องรับรองราชทูตหรือแขกอย่างเป็นทางการ
ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าโกษาปาน ราชทูตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
ตอนเดินทางไปถวายพระราชสาส์นแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้เข้าพักในห้องวีนัสนี้
ตรงกลางห้องมีประติมากรรมเท่าพระองค์จริงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในชุดเครื่องแบบจักรพรรดิโรมัน
เพดานห้องวีนัส เต็มไปด้วยภาพเทพธิดาแห่งความงามและความรัก
รูปปั้นครึ่งตัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
Diana room : ห้องไดอาน่า ห้องนี้ใช้เป็นห้องพักผ่อน
ที่ผนังทั้งสองด้านมีรูปเทพธิดาไดอาน่า(เทพีแห่งการล่าสัตว์)
ห้อง Mars salon สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ฉลองชัยชนะจากศึกสงครามในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
Marie Leszczynska มารี เลซชินสกา มเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (Louis XV 1710-1774) เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (Louis XVI 1754-1793) เป็นหลานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
ท่านอภิเษกสมรสกับพระนางมารีอังตัวเนตและใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย
ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสพระเจ้าหลุยส์และครอบครัวถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยติน
ห้องอพอลโล ตั้งตามนามเทพอพอลโล เจ้าแห่งแสงสุริยาและความปราดเปรื่อง เป็นห้องทรงพระอักษร
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV 1638-1715) หลุยส์มหาราช หรือสุริยกษัตริย์
ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 72 ปี และเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรป
War drawing room มีรูปสลักนูนต่ำของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงออกศึก
เป็นห้องสำำหรับแขกคนพิเศษหรือราชทูตที่จะเข้าเฝ้าเป็นทางการได้เตรียมพร้อมในห้องนี้
ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors)
เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 วันที่ 28 มิย ค.ศ.1919 และใช้เป็นที่ลงนามเมื่อครั้งเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกใสขนาดใหญ่ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายส์อันสวยงาม
ด้านที่ติดกับสวนเป็นกระจกใส ส่วนอีกด้านเป็นกระจกเงาเพื่อให้สะท้อนภาพสวนของพระราชวัง
ทำำให้ห้องนี้ดูกว้างขวางขึ้น
มองจากหน้าต่างกระจกออกไปจะเห็นอุทยานแวร์ซายส์ขนาดใหญ่อยู่ล้อมรอบพระราชวัง
ได้ตกแต่งอย่างสมบูรณ์แบบในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปในส่วน King Chamber
ผ่าน bull's eye room เป็นห้องหนึ่งมีช่องหน้าต่างด้านบนเป็นทรงรีขนาดใหญ่เหมือนดวงตา
ใช้เป็นห้องรับรองแขกก่อนเข้าไปสู่ห้องกระจก
The King Chamber ห้องชุดพระเจ้าหลุยส์
ได้ถูกสร้างไว้พิเศษ มีประตูและบันไดลับที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้
พระเจ้าหลุยส์ทุกพระองค์จะมีสนมมากมาย สนมคนใดถูกพระทัยจะได้ทรัพย์สินเงินทอง
หรือตำำหนักส่วนตัวในห้องลับส่วนพระองค์
The Council Study
ห้องชุดส่วนตัวของพระราชินี อยู่อีกด้านหนึ่งของวังทางปีกซ้าย ถูกแยกออกไปคนละส่วน
เป็นห้องรับรองแขกส่วนพระองค์ของพระราชินี ในห้องมีภาพวาดของพระนางมารีอังตัวเน็ตกับลูกๆ
ตอนนี้ปิดปรับปรุง ไม่ให้เข้าชมค่ะ
เป็นห้องรับรองแขกส่วนพระองค์ของพระราชินี ในห้องมีภาพวาดของพระนางมารีอังตัวเน็ตกับลูกๆ
ตอนนี้ปิดปรับปรุง ไม่ให้เข้าชมค่ะ
ภาพสุดท้ายก่อนออกไปด้านนอกค่ะ
Marble courtyard เป็นลานหินอ่อนด้านหน้าพระราชวัง
เป็นจุดที่ทุกคนควรจะแวะมาถ่ายภาพ
พระราชวังเปิดให้เข้าชมเวลา 9:00-18:30 น.
พวกเราเข้าชมพระราชวังเป็นกลุ่มสุดท้าย ตอนนี้เลยไม่ค่อยมีคนแล้วค่ะ
พระราชวังปิดแล้วก็ออกมาเดินเล่นด้านนอกกันต่อค่ะ
หลักฐานว่าพวกเราได้มาเหยียบเมืองแวร์ซายส์แล้วจริงๆ55
เดินเลียบรั้วไปด้านข้างพระราชวัง มีประตูทางเข้าอุทยานแวร์ซายส์
อุทยานนี้มีเนื้อที่ 14,820 เอเคอร์ ซึ่งใหญ่มากต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินชมได้หมด
เดินเล่นในเมืองแวร์ซาย
เมืองเงียบสงบสะอาดดีค่ะ ตึกก็สวย
เวลา 19:00 น.ทานอาหารเย็นในเมืองนี้ เป็นอาหารจีน
เวลา 20:00น.เดินทางกลับที่พัก รร.Mercure Orly Paris Rungis
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น