เวลา 13:30 น.ออกเดินทางจากหาดใหญ่เทียวบิน
WE262 ถึงสุวรรณภูมิเวลา 15:00 น.
รีบไปเช็คอินที่เค้าท์เตอร์
Q สายการบินการ์ต้าร์แอร์เวย์
เวลา 20:25 น.ออกเดินทางไปกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยเที่ยวบิน QR835 เครื่องแอร์บัสลำำใหญ่ และใหม่ดีค่ะ หน้าจอทัชสกรีน มีหนังและเพลงพอสมควร เครื่องขึ้นได้สักพักพนักงานก็เสิร์ฟอาหารเย็น
เดินทางถึงกรุงโดฮาเวลาประมาณ 23:30 น.(เวลาที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชม.)
ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องก็เดินเล่นในสนามบิน มีรถแข่งของ RED BULL มาโชว์ด้วยค่ะ
ท่าอากาศยานนานาชาติฮาหมัด เป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ กว้างขวาง สะอาด คนไม่หนาแน่น
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
เวลา 01:45 น.ออกเดินทางสู่กรุงโรม
เที่ยวบิน QR115 พอขึ้นเครื่องก็รีบนอนต่อเลยค่ะ ง่วงมากเวลา 05:00 น.พนักงานก็เสิร์ฟอาหารเช้า
เวลา 06:45 น.เดินทางถึงสนามบินฟูมิชิโน(FCO) กรุงโรม ประเทศอิตาลี (เวลาที่นี่ช้ากว่าไทย 5 ชม.)
สนามบินฟูมิชิโน มีชื่อเต็มๆคือ Aeroporto Leonado da Vinci di Flumicino เป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งชื่อตามจิตรกรชื่อดัง ลีโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งเคยวาดภาพยานพาหนะบินได้เป็นครั้งแรก
อุณหภูมิตอนนี้ 10 องศา
ระยะทางประมาณ. 35 กม.ใช้เวลาเดินทางร่วม 1 ชม.เพราะรถค่อนข้างหนาแน่น
เวลา 09:30 น.เดินทางถึง นครรัฐวาติกัน เห็นโดมของมหาวิหารแต่ไกลเลยค่ะ
รถบัสจอดที่ด้านนอกกำำแพงต้องเดินเข้าไปด้านใน
เดินไม่ไกลค่ะ อากาศก็เย็นสบาย
ระหว่างทางเดินมีน้ำดื่มให้รองดื่มได้เลยนะคะ เชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์มาจากด้านในกำำแพง มะปรางบอกว่าน้ำเย็นเหมือนน้ำแข็งเลย
กลุ่มเสาสีขาวข้างหน้าก็คือเขตของนครรัฐวาติกันแล้วค่ะ
โบสถ์เล็กๆ หน้าทางเข้า
ชื่อทางการประเทศภาษาไทย : นครรัฐวาติกัน
ชื่อทางการประเทศภาษาอังกฤษ : State of the Vatican City
เมืองหลวง :นครรัฐวาติกัน พื้นที่ : 0.438 ตร.กม. ประชากร : 1,000 คน (2558/ค.ศ. 2015)
ประธานาธิบดีหรือประมุข : สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส Franciscus (13 มิ.ย. 2556) องค์ที่ 266
(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
วาติกันเป็นประเทศเอกราชและเป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก ที่นี่ไม่มีคนเชื้อชาติวาติกัน
บริเวณนี้คือ "จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์" เป็นลานกว้างด้านหน้ามหาวิหาร
ตรงกลางลานกว้างจะมีเสาโอเบลิสก์ Obelisk ของอียิปต์ ตั้งโดดเด่น
เสาโอเบลิสก์ที่มีความสูงที่สุดในโลกคือ Lateran Obelisk มีขนาดความสูง 105.6 ฟุต หนัก 455 ตัน ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ลานจัตุรัสหน้า Lateran Basilica กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ยอดด้านบนสุดของเสาเป็นรูปทรงปิรามิด มีต้นกำำเนิดมาจากอียิปต์โบราณ
เป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางสู่วิหารเทพเจ้า ปกติจะนิยมสร้างขึ้นเป็นคู่ ตั้งอยู่ ณ บริเวณทางเข้าวิหาร
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของวาติกัน
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ออกแบบโดยไมเคิลแองเจลโล
มีคนต่อคิวเข้าชมภายในมหาวิหารเป็นจำำนวนมาก แต่พวกเรามีเวลาไม่มากเลยไม่ได้เข้าไปชม แค่เดินถ่ายรูปรอบๆก็สวยงามมากแล้วค่ะ
บนตักมีพระศพของพระเยซูที่ถูกนำำลงจากไม้กางเขนพาดอยู่ เป็นรูปสลักหินอ่อนที่มีความงดงามและสมจริง
ภาพจาก wikipedia
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เรียกอีกชื่อว่า มหาวิหารนักบุญเปโตร Basilica di San Pietro in Vaticano
เชื่อว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นหัวหน้าอัครสาวกของพระเยซู บิชอปองค์แรกของAntioch
และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม
อนุสาวรีย์ประติมากรรมรูปนักบุญปีเตอร์ สร้างโดยศิลปิน
อาร์โนลโฟ ดี กัมบิโอ ตั้งอยู่ด้านหน้าวิหาร
ด้านบนของวิหาร มีหอนาฬิกาและระฆังตีบอกเวลา
องครักษ์ของพระสันตะปาปา สวิสการ์ด (Swiss Guard)
ทหารรักษาความปลอดภัยที่จ้างมาจากสวิสเซอร์แลนด์ด้วยความขึ้นชื่อในเรื่องความจงรักภักดีและกล้าหาญ
ทหารในเครื่องแบบที่แปลกตา
เป็นชุดลายทางสีส้มสลับน้ำเงิน แขนเสื้อและขากางเกงจะพองคล้ายกับชุดตัวตลก
สวมหมวกเบเร่ต์สีดำำ ถือหอกซึ่งเป็นอาวุธประจำำตัว
ยืนประจำำการรักษาความปลอดภัยในนครรัฐวาติกัน
Poste Vaticane ตู้ไปรษณีย์สีเหลือง เป็นลักษณะเฉพาะของวาติกัน
เดินเล่นและถ่ายรูปรอบๆ
รอบลานจัตุรัสมีแนวเสาระเบียงของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่ยาวโค้ง เหมือนเป็นกำำแพง
มีน้ำพุสองด้านซ้ายและขวา เป็นมุมถ่ายรูปที่คนนิยมมาก
เสาโอเบลิสก์ยังคงเหลืออยู่ในโลกนี้รวม 29 เสา เป็นเสาที่ตั้งอยู่ในประเทศอียิปต์ปัจจุบันจำนวน 9 เสา ส่วนอีก 20 เสานั้น กระจายกันอยู่ในประเทศต่างๆ คือ ในประเทศอิตาลี 11 เสา (รวมนครรัฐวาติกัน)
สหราชอาณาจักร 4 เสา ส่วนในประเทศฝรั่งเศส โปแลนด์ อิสราเอล ตุรกี และ สหรัฐอเมริกา
มีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่ประเทศละ 1 เสา
อาคารสีเหลืองสูงๆด้านหลังนั้นคือ พระราชวังพระสันตะปาปา (Apostolic Palace)
เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ตัววังเป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างหลายอย่างเช่น ห้องชุดของพระสันตะปาปา พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน
เสาที่ล้อมรอบจตุรัสนี้มีจำำนวน 284 ต้น ด้านบนมีรูปปั้นของนักบุญ 96 องค์
ด้านหลังคือที่ทำำการไปรษณีย์ สามารถเข้าไปซื้อโปสการ์ดและฝากส่งได้เลยค่ะ
เข้ามายืนด้านใน จะเห็นว่าเสาแต่ละต้นมีขนาดใหญ่และสูงมากค่ะ
นั่งพักชมวิว ลมเย็นสบายมาก
พวกเราใช้เวลาเดินเล่นที่นี่ประมาณ 1 ชม.ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้วค่ะ
เดินย้อนกลับทางเดิม ผ่านร้านขายของที่ระลึก ส่วนมากก็ติดราคาไว้ ราคาเท่ากันทุกร้านค่ะ
ตอนแรกนึกว่ารูปปั้น พอหยุดยืนดูแล้วขยับได้ ตกใจเลยค่ะ55
ป้ายรถเมล์ มีเวลาที่รถจะมาถึง
ข้ามสะพานเพื่อเดินทางเข้าสู่กรุงโรม ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับนครรัฐวาติกัน
อาคารเก่าแต่ดูสวยแปลกตามาก
เห็นโคลอสเซียมอยู่สุดถนนเลยค่ะ
บริเวณนี้ห้ามรถผ่าน พวกเราต้องเดินเข้าไปเองค่ะ
มีทหารถือปืนหลายคนเดินตรวจความปลอดภัยทั่วบริเวณ เห็นแล้วสบายใจดีค่ะ
ประตูชัยคอนสแตนติน (Arco di Costantino)
ถือว่าเป็นมรดกสำำคัญของประเทศอิตาลีอีกที่หนึ่ง
Arch of Constantine สร้างขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.312
เพื่อฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ที่มีชัยชนะเหนือ Maxentius ในสงคราม Battle of Milvian Bridge ซึ่งประตูนี้ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของประตูชัยอื่นๆ เช่น ประตูชัยฝรั่งเศส เป็นต้น
จุดที่น่าสนใจของประตูชัยนี้ คือประติมากรรมนูนรูปวงกลมที่อยู่เหนือทางเดินด้านข้าง บริเวณหน้าโค้งของประตูชัย จะเห็นรูปปั้นของนักโทษชาวเดเซียนทั้งแปดตั้งอยู่เหนือยอดเสาหลักของประตูโค้งทั้งสองด้าน
รอยสลักบนผนังที่ประดับอยู่บนส่วนต่างๆ ของด้านล่างประตูชัย หลายชิ้นบอกเล่าเรื่องราวที่นำไปสู่ชัยชนะของคอนสแตนติสในการต่อสู้กับแม็กเซ็นเทียส ภาพสลักของการรบที่เวโรนา
ประตูชัยคอนสแตนตินตั้งอยู่บนเส้นทางศักดิ์สิทธิ์
เยื้องกับ Colosseum
และตั้งอยู่ระหว่าง โคลอสเซียม กับ พาลาตินฮิลล์
โคลอสเซียม Colosseum
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม
เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน
และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80
อัฒจันทร์เป็น รูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร
ใช้นักโทษชาวยิวหมื่นกว่าคนมาวางอิฐนานถึง 8 ปี สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน
มีการออกแบบให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน
ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม
สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร ใต้อัฒจรรย์โคลอสเซียม และใต้ดินโคลอสเซียม
มีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย
ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก
ปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาโคลอสเซียม แห่งนี้ จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ
แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง โคลอสเซียม ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหนปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม
พวกเราไม่ได้เข้าไปชมด้านในโคลอสเซียม ก็เลยเดินชมรอบๆหลายๆมุมค่ะ
โรมันฟอรั่ม Roman Forum
หรือ ฟอรูงโรมานูง (ละติน: FORVM ROMANVM) ตั้งอยู่ระหว่างเนินพาเลติเน (Palatine hill) กับเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) บริเวณนี้เป็นบริเวณศูนย์กลางของการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมโรมันมาแต่โบราณ ประชาชนมักจะเรียกบริเวณนี้ว่า "ฟอรูงมังนูง" หรือเพียงสั้น ๆ ว่า "ฟอรูง"
ต้องเดินเข้าไปด้านในตามทางข้างหน้าค่ะ ต้องใช้เวลานานกว่าจะเดินชมได้หมด
ต้องเดินเข้าไปด้านในตามทางข้างหน้าค่ะ ต้องใช้เวลานานกว่าจะเดินชมได้หมด
ชาวอิตาลีเรียก Foro Romano เป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บรรยากาศของโบราณสถานที่เป็นจุดเริ่มต้นของจักวรรดิ์โรมัน ในอดีตคือศูนย์กลางย่านการค้า การเมือง ศาสนา เป็นที่พบปะสังสรรค์ ในยุคที่รุ่งเรืองสูงสุดจักวรรดิ์โรมันครอบครองพื้นที่ 2.5 ล้านตารางไมล์ (6.5 ล้านตารางกิโลเมตร) ปัจจุบันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่บ่งบอกถึงพลังอำนาจของจักรพรรดิ์และกองทัพอันน่าเกรงขามในยุคโบราณ
วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น 1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
เดินขึ้นมาบนเนินเล็กๆเพื่อถ่ายรูปมุมสูงของโคลอสเซียม
เดินวนจากเนินลงมาครบรอบพอดีค่ะ ตอนนี้เริ่มเหนื่อยและหิวกันแล้ว
Palatine Hill เนินเขาที่อยู่ติดกับ Roman Forum
ด้านบนเนินเขานี้เราจะเห็นภาพวิวสูงของ Roman Forum ชัดเจน
ตรงนี้คือทางเข้า ต้องเสียค่าเข้าชมด้วยค่ะ
แม้ไม่ได้เข้าไปด้านในก็ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยค่ะ
ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อ ผ่านชมสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ภายในกรุงโรม
จตุรัสเวเนเชีย Piazza Venezia
ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เป็นจัตุรัสอีกเเห่งที่มีความสวยงามเเละเก่าเเก่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
อย่างโคลอสเซียมและโรมันฟอรัม โดยตั้งอยู่สุดสายของถนน Via dei Fori Imperiali
อนุสรณ์หินอ่อนสีขาวที่มีความสวยงามเเละโดดเด่น
โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับผู้ที่รวบรวมอิตาลีได้สำเร็จในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 อย่าง วิกเตอร์ เอมมานูเอล
เป็นงานออกเเบบที่มีความสวยงามเเละอลังการโดยลีโอนาร์โด
บิสโตลฟีและแองเกโล ซาเนลลี
Monument of Victor
Emanuel II
เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอิตาลี
ผู้รวมรวมชาติอิตาลีเข้าไว้ด้วยกัน ตัวอนุสาวรีย์จะตั้งอยู่บนเนินเขาแคปปิทอลไลน์
(Capitoline Hill)ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าเขียว สร้างขึ้นในปี 1895-1911
ออกแบบโดย Giuseppe Sacconi ตัวอาคารเป็นหินอ่อน
รายล้อมด้วยเสาหินขนาดใหญ่
ด้านในของอาคารยังเป็นที่ฝังศพของเหล่าทหารทั้งหลายที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่
1
Palazzo Venezia ระเบียงปาลาสโซ
อาคารที่อยู่ทางซ้ายเคยเป็นพระราชวังใหญ่แห่งแรกของโรมในยุคเรอเนสซองซ์
สร้างขึ้นในปี 1455 - 1464 เพื่อถวายให้แด่พระคาร์ดินัลปิเอร์โตร บาร์โบ
ชาวเมืองเวนีซซึ่งภายหลังได้เป็นพระสันตปาปาเพื่อให้เป็นที่พำนัก เคยเป็นทั้งที่พักและศูนย์บัญชาการใหญ่ของมุสโสลินี
ผู้นำในยุคเผด็จการ และเคยกล่าวปราศัยจากระเบียงมุขหน้า
ให้ประชาชนผู้ฝักใฝ่หลงใหลลัทธิฟาสซิสต์
ปัจจุบัน
ปาลัซโซเวเนเซียเป็นพิพิธภัณฑ์เวเนเซีย (Museo di Venezia) จัดแสดงปฏิมากรรม
ภาพจิตกรรม วัตถุโบราณจำพวกเครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเงิน
งานแกะสลักไม้ เครื่องแก้ว พรมแขวนประดับผนัง และสิ่งของเครื่องใช้ที่เคยมีในวัง
เวลา 12:30 น.เดินไปทานอาหารเที่ยงกันค่ะ เป็นภัตตาคารจีนอยู่ในซอยเล็กๆ
ทานอาหารเสร็จก็ออกเดินเที่ยวในเมืองต่อ ในกรุงโรมจะมีถนน และซอยเล็กๆเชื่อมต่อกันมากมาย
อาจหลงทางได้เลยค่ะ เพราะแต่ละซอยหน้าตาเหมือนกันไปหมด
ที่นี่มีรถยนต์คันเล็กๆแบบนี้มากเพราะหาที่จอดได้ง่าย มะปรางบอกว่าอยากได้แบบนี้สักคัน55
เวลา 14:00 น.เดินมาจนถึงย่านที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของกรุงโรม
มีร้านค้า ร้านขายของแบรนด์เนม และนักท่องเที่ยวมากมาย
บันไดสเปน Spanish
Steps หรือ Piazza di Spagna (ในภาษาสเปน)
เป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป ถ้าเทียบกับสถานที่เที่ยวสำคัญอันเป็นโบราณสถานของโรมแห่งอื่นแล้ว
บันไดสเปนนั้นเป็นส่วนที่ค่อนข้างใหม่สำหรับเมืองนี้
แต่ก็ยังมีอายุเก่าแก่กว่าการสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกา
บันไดนี้ตั้งชื่อตามสถานทูตสเปนที่เคยตั้งอยู่ที่นี่
ในปี ค.ศ. 1717
สถาปนิกฟรานเชสโก เดอ แซงติส ร่วมกับ อเลสซานโดร สเปคคี ได้พัฒนาแบบสำหรับบันได 138
ขั้นซึ่งจะนำไปสู่โบสถ์ตรินิตา เด มอนตี บันไดนี้ออกแบบเข้ากับสถาปัตยกรรมของที่อยู่โดยรอบ นับจากนั้นเป็นต้นมา
บันไดแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของกรุงโรม ในศตวรรษที่ 18 และ 19
บันไดสเปนได้กลายเป็นสถานที่พบปะของศิลปิน นักเขียน ชาวสังคมและโบฮีเมียน
ในศตวรรษที่ 20 สถานที่นี้กลายเป็นภาพอมตะในภาพยนตร์เรื่องต่างๆเช่น Bicycle Thieves (1948) ,Roman Holiday (1953), The Talented Mr. Ripley (1999)
ในศตวรรษที่ 20 สถานที่นี้กลายเป็นภาพอมตะในภาพยนตร์เรื่องต่างๆเช่น Bicycle Thieves (1948) ,Roman Holiday (1953), The Talented Mr. Ripley (1999)
จัตุรัสสเปน (อิตาลี: Piazza di Spagna)
เป็นลานกว้างซึ่งตั้งอยู่ด้านล่างของบันไดสเปน ใจกลางจัตุรัสมีน้ำพุโด่งดังที่ชื่อว่า ฟอนตานาเดลลาบาร์คัชชา น้ำพุแบบอย่างบาโรกยุคต้นรูปทรงเรือโบราณ สร้างขึ้นในปี 1627-1629 ผลงานของนักประติมากรชื่อดัง
ปีเยโตร แบร์นีนีี บิดาของ จัน โลเรนโซ แบร์นีนี ตามตำนานว่า พระสันตะปาปาอูร์บาโนที่ 8 มีดำำริให้สร้างจำำลองจากเรือที่ถูกพัดพามาจากแม่น้ำไทเบอร์ตอนน้ำท่วม
ที่มุมขวาของเชิงบันได จะเห็นอาคารที่เคยเป็นสถานที่พำำนักอาศัยของจอห์น คีตส์ กวีชาวอังกฤษ จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1821 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ Keats-Shelley Memorial House เพื่อรำำลึกถึงคีตส์และเพอร์ซี บิช เชลลี และยังเป็นหอจดหมายเหตุรวบรวมผลงานสำคัญ รวมทั้งต้นฉบับและงานเขียนของกวีในยุคโรแมนติกอีกหลายท่าน
จัตุรัสนี้สร้างขึ้นพร้อมกับบันไดสเปนในปี ค.ศ. 1725 ตามบัญชาของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 เพื่อใช้เป็นทางเชื่อมสถานทูตสเปนประจำำสันตะสำำนัก (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อจัตุรัสกับบันได) กับโบสถ์ตรีนีตาเดย์มอนตีศตวรรษที่ 17 พร้อมกับผลงานชิ้นเอกของแบร์นินี คือน้ำพุบาร์คาชชาเป็นจุดศูนย์กลาง
Babington's tea room & cafe ร้านชาอังกฤษชื่อดัง เปิดตั้งแต่ปี ค.ศ.1893
อยู่ที่ฐานบันไดสเปนทางด้านซ้าย
ถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินต่อค่ะ
ตึกใหญ่นี้น่าจะเป็นสถานที่ราชการนะคะ
คนต่างชาตินิยมออกมานั่งทานอาหารด้านนอกเพื่อรับแดด แต่คนไทยชอบนั่งด้านในเพื่อหลบแดด
วิหารแพนธีออน (Pantheon)
มีอายุกว่า 2,000 ปี ทางเข้าด้านหน้าเป็นมุขที่มีหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วและมีเสาตั้งเรียงกันอยู่เหมือนวิหารกรีก ส่วนตัวอาคารจริงนั้นเป็นโดมทรงกลม ยอดโดมนั้นเป็นซากที่หลงเหลืออยู่ของโดมคอนกรีต
ไม่เสริมแรงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แพนธีออนนั้นสร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลภายใต้การกำำกับดูแลของแม่ทัพโรมัน Marcus Agrippa แต่แพนธีออนที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เริ่มก่อสร้างขึ้นใน ค.ศ. 126 โดยจักรพรรดิ์เฮเดรียนผู้โด่งดังของโรมัน แต่ถึงกระนั้นที่แผงหน้าของอาคารยังมีจารึกที่ให้เกียรติแก่ผู้ริเริ่มก่อสร้างคนแรก มีข้อความว่า “Marcus Agrippa บุตรแห่งลูเชียส สร้างอาคารแห่งนี้ขึ้นขณะดำำรงตำำแหน่งผู้ปกครองเป็นสมัยที่สาม”
วิหารนี้เข้าได้ฟรีค่ะ ไม่ต้องต่อคิว ค่อยๆทยอยกันเดินเข้าไป
โอคูลุส (Oculus) ดวงตาแห่งสวรรค์
เมื่อเข้ามาด้านในให้เงยขึ้นไปมองด้านบนเพดานรูปโดมโค้งมนมีช่องวงกลมขนาดใหญ่ตรงกลางให้แสงผ่านเข้ามา
เรียกช่องนี้ว่า “โอคูลุส”
แปลว่า ตา ซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์ของตาจากสวรรค์
ช่องแสงขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 30
ฟุตนี้มีความเชื่อกันว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ช่องแสงโอคูลุสนี้เป็นปริศนาสำหรับหลายๆ คนว่าสร้างไว้เพื่ออะไร นักประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งค้นพบว่าช่องรับแสงนี้จะรับแสงอาทิตย์ให้สาดส่องเข้ามาภายในวิหารในวัน “อิควินอกซ์” (Equinox) หรือวันวิษุวัต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรของโลกพอดี หรือเป็นช่วงที่เวลาในตอนกลางวันและกลางคืนเท่ากัน ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือราววันที่ 21 มีนาคม และ 22 กันยายน รวมถึงวันที่ 21 เมษายนซึ่งเป็นวันที่เชื่อกันว่าเป็นวันที่มีการค้นพบกรุงโรมด้วย
วิหารนี้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ของสถาปนิกสมัยโบราณกับเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
คือ เป็นวิหารทรงกระบอก กว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุต(43 เมตร)เท่ากัน
ไม่มีเสาค้ำกลางคอยรับน้ำหนักทั้งที่มีขนาดใหญ่โต
โบสถ์นี้สร้างขึ้นครั้งแรกเพื่อบูชาเทพเจ้าของโรมันโบราณ (คำำว่า "แพนธีออน" แปลว่า "แด่เทพเจ้าทั้งปวง")
The temple to all of God
นอกจากนี้วิหารแพนธีออนยังใช้เป็นสถานที่ฝังศพกษัตริย์ บุคคลในราชวงศ์และบุคคลสำคัญ เช่น พระศพของกษัตริย์ 2 พระองค์สุดท้ายของอิตาลีคือ พระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ 2 และพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 และยังมีศพของ ราฟาเอล จิตรกรชาวอิตาลีที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
โถงด้านหน้ามีเสาโครินเธียนทำำด้วยหินแกรนิตโดดเด่นสะดุดตา 8 ต้น และมีเสาแบบเดียวกันอีก 8 ต้นซ้อนอยู่ด้านหลัง เสาทั้งหมดนี้รองรับหน้าจั่วสามเหลี่ยมขนาดมหึมา
เสาโอเบลิสก์ด้านหน้าวิหารแพนธีออน
น้ำพุเทรวี่ Trevi Fountain(Fontana di Trevi ในภาษาสเปน)
เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก
ชื่อ “เทรวี่”
นั้นมาจากว่าน้ำพุเทรวีตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง (tre vie) ที่เป็นจุดจบของสะพานส่งน้ำแวร์จิเน (Acqua Vergine) “สมัยใหม่”, สะพานส่งน้ำเวอร์โก (Aqua Virgo) และสะพานส่งน้ำของโรมันโบราณ
เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค
ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่
ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่
ประติมากรรมที่เป็นประธานกลางน้ำพุเทรวีคือ Oceanus เทพแห่งมหาสมุทร ประทับยืนอยู่บนรถลากรูปเปลือกหอยเทียมกับม้า บริวารซ้ายขวาที่ลุยน้ำต่อหน้าเทพ Oceanus คือ ไทรทัน (Triton) ลูกชายของเทพเจ้าเนปจูน(Nepjune) กรีกเรียก Poseidon ถูกชักลากโดยม้าสองตัว ม้าตัวหนึ่งมีลักษณะสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง ส่วนอีกตัวหนึ่งดื้อรั้นและดูพยศ มีความหมายถึงธรรมชาติของท้องทะเลที่มีความแปรปรวนไม่หยุดนิ่ง
หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำจะได้กลับมาเยือนอีก โดยการยืนหันหลังใช้มือขวากำเหรียญไว้ เมื่ออธิษฐานในใจให้ได้กลับมาที่นี่อีกเรียบร้อยแล้ว ก็โยนเหรียญข้ามไหล่ซ้ายของเราให้ลงไปในน้ำพุได้เลย ในแต่ละวันมีผู้โยนเหรียญลงไปในน้ำพุเทรวีราว 3,000 ยูโร ซึ่งเงินจำนวนนี้นำไปใช้ในการบำรุงซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับผู้ยากจนในกรุงโรม
โยนเหรียญ 1 เหรียญคุณจะได้กลับมาเที่ยวโรมอีกครั้ง ถ้าโยน 2 เหรียญคุณจะพบรักกับชาวโรม และถ้าโยน 3 เหรียญจะได้แต่งงานกับชาวโรม
ประติมากรรมของอะบันแดนซ์ เป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ยืนอยู่ในซุ้มด้านซ้ายส่วนด้านขวาเป็นรูปปั้นสวมมงกุฏช่อมะกอก มือถือถ้วยและมีงูดื่มน้ำจากถ้วย
แวะทานไอติมเจลาโต้ GELATO ที่อยู่ข้างๆน้ำพุค่ะ ในร้านคนแน่นมากคงเพราะเป็นร้านดังของที่นี่
พวกเราเลยสั่งแบบโคนมายืนทานข้างนอก ทานไปชมน้ำพุไปฟินดีค่ะ
เวลา 16:oo น.ออกเดินทางกลับที่พักค่ะ คืนนี้เราจะไปพักที่เมืองพราโต ระยะทาง 300 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง แวะพักรถครึ่งทางเพื่อเข้าห้องน้ำและซื้อขนมที่ปั๊มน้ำมัน
เวลา 20:00 น.เดินทางถึงที่พัก CHARME HOTEL,PRATO
ทานอาหารเย็นที่โรงแรมเลยค่ะ เป็นอาหารชุด รสชาติดี ไก่นุ่มมาก
ทานเสร็จก็กลับขึ้นห้องรีบอาบน้ำพักผ่อนเลยค่ะ เพราะวันนี้เที่ยวเหนื่อยมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น