วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560
เวลา 07:00 น.อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ออกมาสูดอากาศยามเช้าที่หน้าโรงแรมก่อนค่ะ อุณหภูมิเช้านี้ 15 องศา
ทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
เดินชมเมืองตอนเช้า ถนนโล่งมาก ไม่มีคนเลยค่ะ เพราะเป็นวันหยุดคงยังไม่ตื่นนอนกัน
นั่งเล่นในสวนหย่อม เห็นใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีนิดๆแล้วค่ะ
เวลา 08:00 น. ออกเดินทางสู่เมืองปิซ่า ระยะทางประมาณ 60 กม.ใช้เวลา 1 ชม.
เวลา 09:00 น.เดินทางมาถึงเมืองปิซ่า ต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดด้านนอกแล้วนั่ง shuttle bus เพื่อเข้าไปในเขตตัวเมือง ไม่ไกลค่ะเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนก็เดินกัน
comune di pisa ป้ายน่ารักมากๆ
เดินเลียบกำำแพงไปเรื่อยๆค่ะ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก
เดินผ่านซุ้มประตูทางเข้าไปได้เลยค่ะ ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม
ตอนนี้ยังเช้า นักท่องเที่ยวเลยไม่หนาแน่นมากนัก
จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา (อิตาลี: Campo dei Miracoli)
คือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำำแพง
ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง
ได้แก่ มหาวิหารปิซา (Duomo) หอเอน (Torre) หอศีลจุ่ม (Baptistery) และ สุสาน (Camposanto) จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซาเป็นชื่อที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลก
ส่วนคำำว่า "กัมโป เดย์ มีราโกลี" นั้นแปลว่า "จัตุรัสอัศจรรย์"
อาคารทางด้านขวาคือพิพิธภัณฑ์ Museo delle Sinopie
ค่าเข้าชมต่อคน แห่งละ 5 ยูโร สองแห่ง 7 ยูโร สามแห่ง 8 ยูโร
อัพเดตราคาหรือจองผ่านเวปนี้ได้เลยค่ะ www.0papisa.it
ค่าเข้าชมต่อคน แห่งละ 5 ยูโร สองแห่ง 7 ยูโร สามแห่ง 8 ยูโร
อัพเดตราคาหรือจองผ่านเวปนี้ได้เลยค่ะ www.0papisa.it
มีนาฬิกาขนาดใหญ่ ดูจากเข็มแล้วไม่น่าจะบอกเวลาแน่ๆ อยู่บนประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์
พยายามเก็บรูปสิ่งก่อสร้างทั้งหมดไว้ในรูปเดียวค่ะ
หอล้างบาปแห่งปิซ่า-Pisa Baptistry
มหาวิหารปิซ่า-Pisa Cathedral
if you want to visit the cathedral collect the fixed time free ticket.
if you buy any ticket you get a free pass to visit the cathedral,not subjected to a fixed time.
หอเอนเมืองปิซา-Leaning Tower of Pisa
หอเอนเมืองปิซา-หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
(อิตาลี: Torre
pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa; อังกฤษ:
Leaning Tower of Pisa)
เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) มีบันได 293 ขั้น
เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร
ปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว
และมีคนทำำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้
ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli
หอเอนเมืองปิซายังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย
เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
ค่าขึ้นชมหอเอนปิซ่า คนละ 18 ยูโร ให้เวลาไม่เกินคนละ 30 นาที ถ้ามีเวลาน่าขึ้นไปชมวิวด้านบนมากๆค่ะ
กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้
-ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา
-วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา
-วันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น -วันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำำการปรับปรุง
มหาวิหารปิซ่า กำำลังซ่อมแซมด้านบนอยู่ค่ะ
ประตูทางเข้าวิหารด้านที่ติดกับหอเอนปิซ่าปิด
อาคารสีเหลืองด้านหลังคือ Opera del Duomo Palace
ดูในเวปบอกว่าด้านในยังไม่มีการจัดแสดงอะไร
เดินเลาะกำำแพงผนังสีเหลือง สุดทางข้างหน้าทางขวามือคือสุสานค่ะ
มหาวิหารปิซ่าด้านข้าง
ทุกที่ต้องซื้อตั๋วเข้าชมค่ะ ถ้ามีเวลาสักครึ่งวันซื้อตั๋วแบบรวมก็ราคาไม่แพง
สุสาน-Camposanto
ผนังที่มีแนวช่องโค้งของ
Camposanto เป็นขอบเขตทางเหนือของ
Piazza dei Miracoli มีสนามหญ้าด้านในของสุสาน มีจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ โลงหินโรมันโบราณ
และที่พำำนักชั่วนิรันดร์ของชาวปิซาชื่อก้องหลายท่านเช่น Fibonnaci นักคณิตศาสตร์
Camposanto ซึ่งแปลว่า "ลานศักดิ์สิทธิ์" นั้น เชื่อว่าสร้างบนดินที่ขุดและขนส่งมาจากสถานที่ซึ่งพระเยซูถูกตรึงกางเขน การก่อสร้างสุสานเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1464 Camposanto จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหม่ที่สุดจากทั้งหมดสี่แห่งในจัตุรัส
มหาวิหารปิซา (Duomo di Pisa)
เป็นองค์ประกอบเด่นที่สุดของ
Piazza dei Miracoli เป็นสิ่งก่อสร้างที่คนนิยมมาถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลีคู่ไปกับหอเอนปิซา
สร้างขึ้นในปี 1093 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์แบบปิซา
เกือบ 1,000 ปีหลังจากนั้น สถาปัตยกรรมรูปแบบนี้ก็ได้แพร่หลายไปทั่วแคว้นทัสคานี
แม้กระนั้น มหาวิหารแห่งปิซาก็ยังได้รับยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอกในสไตล์สถาปัตยกรรมนี้
มหาวิหารนี้ยังเป็นโบสถ์ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
ทางเข้าโบสถ์ประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ Door of San Ranieri
สถาปนิกชาวอิตาลี Buscheto เป็นผู้ออกแบบมหาวิหารนี้ ศพของเขาจึงได้รับการฝังไว้ในซุ้มโค้งหินอ่อนด้านหน้ามหาวิหารเพื่อเป็นเกียรติ
หอล้างบาปแห่งปิซ่า (Pisa Baptistry)
สิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่เป็นอันดับสองในจัตุรัส
Piazza dei Miracoli เป็นหอล้างบาปที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี
หอล้างบาปแห่งปิซาซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1152-1363 เป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์กับโกธิค
โดยแต่ละชั้นจะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน มีความสูงเกือบ 55 เมตร หอล้างบาปนี้จึงเป็นจุดชมวิวด้วย
ชมสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ที่ชั้นล่าง ด้านหน้าหอที่เป็นหินอ่อนมีซุ้มโค้งอยู่เรียงราย ส่วนด้านบนของทางเข้าก็เป็นช่องโค้งที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
พอเริ่มสายนักท่องเที่ยวก็มากขึ้น แทบหามุมว่างๆถ่ายรูปไม่ได้เลยค่ะ
พวกเราใช้เวลาเดินเล่นและถ่ายรูปที่นี่ประมาณ 2 ชม.
เวลา 11:00 น.ออกมาทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารด้านนอกกำำแพง
เป็นร้านบุฟเฟต์ อาหารหลากหลาย มีอาหารทะเลปิ้งย่างด้วยค่ะ อร่อยมาก
เวลา 12:00 น.ขึ้นรถบัสออกเดินทางไปเวนิส
ระยะทางห่างจากปิซ่า 320 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. แวะพักครึ่งทางที่ปั๊มน้ำมัน เข้าห้องน้ำและซื้อขนม
มะปรางซื้อช็อคโกแลต มาสองแพ็ค ยี่ห้อนี้หวานหอมอร่อยมากๆ
มุ่งหน้าไปเวเนเซียกันต่อ
เวลา 16:00 น. ตอนนี้พวกเราอยู่ฝั่งเมสเตร้ (Venezia Mestre)
ขับรถข้ามสะพานไปขึ้นเรือโดยสารเพื่อไปยังเวนิส ทางซ้ายมือคือรถไฟโดยสารที่วิ่งไป-กลับเวนิส
เวนิส (ภาษาอังกฤษ: Venice) หรือ เวเนเซีย (ภาษาอิตาลี: Venezia)
เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต
ถึงท่าเรือโดยสารที่จะไปเวนิสแล้วค่ะ รถทุกคันต้องจอดไว้ที่นี่เพราะเวนิสไม่มีถนน มีแต่คลอง
ขึ้นเรือเพื่อไปยังสถานที่เที่ยวที่สำำคัญของเวนิส ฝั่งเกาะซานมาร์โค
เรือสำำราญขนาดใหญ่มาจอดเทียบท่าหลายลำำ เพื่อให้ผู้โดยสารได้ไปเที่ยวในเวนิส
นั่งชมวิวที่ดาดฟ้าเรือเลยค่ะ ลมเย็นสบายไม่มีแดด
เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำปลาวี (Po and the Piave Rivers) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก (Adriatic Coast) ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี
ทั้งเมืองเวนิสและทะเลสาบได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1987
ชมวิวรอบๆเมืองเวนิส
มองเห็นยอดโดมของโบสถ์ Santa Maria อยู่ไม่ไกล
ใช้เวลานั่งเรือประมาณครึ่งชั่วโมง จุดหมายปลายทางอยู่ข้างหน้าแล้วค่ะ
ข้างหน้าคือท่าเรือและพระราชวังดอจ์ด เราจะขึ้นที่ท่านี้กันค่ะ
เมืองเวนิสได้รับฉายามากมาย เช่นราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)
เวลา 17:00 น. พวกเราก็ได้มาเดินเล่นที่เวนิสแล้วค่ะ ตอนเย็นแบบนี้เหมาะสำหรับการเดินชมเมืองมากเพราะแดดไม่ร้อนและจะได้รอชมพระอาทิตย์ตกน้ำด้วยค่ะ
นักท่องเที่ยวเยอะมาก เหมือนจะมาจากทุกมุมโลกเลยค่ะ
อนุสาวรีย์พระเจ้าเอ็มมานูเอล Vittorio Emanuele II ตั้งอยู่หน้าโรงแรม Londra Palace
เวนิสเป็นเมืองที่มีการใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด มีอาคาร ร้านค้า บ้านเมืองตั้งอยูริมคลอง มีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ของเมือง เวนิสจึงเป็นเมืองแห่งเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนน้ำ ไม่มีรถวิ่งบนถนน จะมีแต่เรือโดยสารวอปอเร็ตโต (Vaporetto) หรือ เรือเมล์วิ่งแทนรถโดยสารประจำำทาง
การเดินทางภายในตัวเมืองสามารถเลือกได้คือเดินเท้า,นั่งเรือโดยสาร,นั่งเรือแท๊กซี่หรือนั่งเรือกอนโดล่า
โต๊ะพวกนี้เอาไว้ตั้งเป็นทางเดินเวลาน้ำทะเลขึ้นสูงท่วมทางเท้าค่ะ
ในแวดวงวรรณกรรม เวนิส เป็นที่รู้จักจาก เรื่อง พ่อค้าแห่งเวนิส บทประพันธ์ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงนำมาประพันธ์เป็นบทละครชื่อ เวนิสวานิช แต่บทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงก้องโลกที่สุด คือ Romeo and Juliet เชื่อกันว่า เวนิส เป็นถิ่นกำเนิดของทั้งคู่
เดินชมบ้านเมืองสวยงามแปลกตาดีค่ะ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของแบรนด์เนม
ข้างหน้าคือโบสถ์ชื่อ Chiesa di San Moise
โบสถ์สีขาวด้านหน้าเต็มไปด้วยรูปปั้นงดงาม
หน้าโบสถ์คือท่าเรือกอนโดล่า (Gondola) มีป้าย “Servizio Gondole”
กอนโดล่าเป็นพาหนะที่ใช้สัญจรไปมาในเวนิสมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เมื่อก่อนมีหลากหลายสี
ในปี ค.ศ 1562 สภาเมืองเวนิสจึงมีมติให้เรือกอนโดล่าทั้งหมดทาสีดำำเพื่อยุติปัญหาการทาสีตกแต่งเรือเพื่ออวดความร่ำรวยกัน และให้มีสัญลักษณ์เดียวกันซึ่งเหมาะกับสภาพเมืองเวนิส
ในปี ค.ศ 1562 สภาเมืองเวนิสจึงมีมติให้เรือกอนโดล่าทั้งหมดทาสีดำำเพื่อยุติปัญหาการทาสีตกแต่งเรือเพื่ออวดความร่ำรวยกัน และให้มีสัญลักษณ์เดียวกันซึ่งเหมาะกับสภาพเมืองเวนิส
ในอดีตมีเรือกอนโดล่าอยู่ถึง 10,000 ลำำ แต่ปัจจุบันมีเหลือประมาณ 500 ลำำ ตัวเรือสร้างจากไม้ที่แตกต่างกันถึง 8 ชนิด ตัวเรือยาว 11 เมตร กว้าง 1.42 เมตร น้ำหนักเฉลี่ยมากกว่า 350 กิโลกรัม ราคาของเรือประมาณลำำละ 25,000 ยูโร เรือกรรเชียงสีดำำมันขลับ ตกแต่งที่นั่งอย่างดีจนดูหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับแตกต่างกันไปในแต่ละลำำ
เรือแต่ละลำำนั่งได้ไม่เกิน 6 คน ค่าบริการ 30 นาที 150 ยูโร(6000บาท)
ถ้าต้องการให้ร้องเพลงขับกล่อมก็ต้องจ่ายเพิ่ม มีท่าลงเรืออยู่ทั่วตลอดริมคลองใหญ่
ลงเรือกันเลยค่ะ มีเวลาไม่มากเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน
เรือจะลัดเลาะไปตามคลองเล็กๆ ลอดสะพานหลายอัน
คนพายจะบอกให้เรานั่งนิ่งๆห้ามขยับเพราะเค้าจะบังคับเรือยาก
นั่งชมวิวบ้านเรือนริมคลองพร้อมสูดกลิ่นแปลกๆจากน้ำในคลองไปด้วยค่ะ55
คนพายเรือทุกคนจะใส่เสื้อลายทางขาว-แดง บางคนก็ลายขาว-ดำำ เป็นเอกลักษณ์เลยค่ะ
เวนิสมีเกาะเล็กๆมากกว่า 188 เกาะและเชื่อมโยงถึงกันด้วยสะพานมากกว่า 400 แห่ง
ใช้ทั้งมือและเท้าบังคับเรือเลยค่ะ
บางบ้านมีเรือส่วนตัวจอดหน้าบ้าน
ลัดเลาะจากคลองเล็กๆมาถึงแกรนด์คาแนล (Grand Canal)
แกรนด์คาแนลเป็นทางสัญจรรูปตัวเอสอันโด่งดังของเวนิส มีระยะทาง 2 ไมล์ (4 กม.)
ระหว่างทางจะได้พบกับพระราชวังและโบสถ์อันงดงามที่เรียงรายอยู่ริมฝั่งคลอง
มหาวิหารสไตล์บาร็อก
มหาวิหาร St.Mary of Health (Basilica di Santa Maria della Salute)
ตั้งอยู่ตรงทางแยกระหว่างลุ่มแม่น้ำแซนด์มาร์กกับแกรนด์คาแนล สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระแม่มารี
ภายในมีงานศิลปะเกี่ยวกับศาสนา
อาคารทางซ้ายมือที่อยู่ตรงหัวมุมคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ-Punta della Dogana
อากาศบริเวณนี้สดชื่นเย็นสบายกว่าในคลองเล็กๆมากเลยค่ะ
ชมสถาปัตยกรรมต่างๆที่สร้างเสน่ห์ให้กับเมืองเวนิสและบางส่วนของอาคารอันโดดเด่นกว่า 170 แห่ง
รูปปั้นนี้เหมือนเทพีเสรีภาพเลยค่ะ ยืนชูคบเพลิงอยู่ริมคลอง
โบสถ์ San Giorgio Maggiore อยู่ตรงข้ามเกาะ San Marco
ตรงข้ามจัตุรัสเซนต์มาร์กเป็นหนึ่งในจุดชมวิวเส้นขอบฟ้าที่ดีที่สุดของเวนิสและเป็นที่เก็บภาพวาดอันทรงคุณค่า
เรือแล่นมาจะออกทะเลแล้วค่ะ มีนกนางนวลบินหาอาหารหลายตัว คลื่นเริ่มแรงเพราะมีเรือใหญ่วิ่งเยอะ คนพายเลยวกเรือกลับ
อาคารสวยๆริมคลองส่วนมากจะเป็นโรงแรม
คนพายเรือเริ่มวนกลับกันทุกลำำแล้วค่ะ
สัญลักษณ์คล้ายหวีแฉกตรงปลายเรือที่มีหกแฉก แสดงถึง 6 เขตการปกครอง (Sestiere) ของเวนิส
เรือวนกลับเข้าตามคลองเล็กๆมาจนถึงท่าที่เราลงเรือตอนแรกค่ะ จบการนั่งเรือกอนโดล่าสำำหรับทริปนี้
ไปเดินเล่นที่ใจกลางเมืองของเวนิสกันค่ะ บริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมากตลอดทั้งวัน
เมื่อนั่งเรือมาเมื่อถึงที่ท่าซานมาร์โค จะพบเสาสูงสองต้นอยู่ริมน้ำ
เสาหนึ่งเป็นรูปสิงห์โตมีปีกแห่งเซนต์มาร์ก
อีกเสาหนึ่งคือนักบุญธีโอดอร์ซึ่งทั้งสองเป็นสัญลักษณ์ของเวนิส
จตุรัสเซนต์มาร์ก-Piazza San Marco หรือ St. Mark’s Square
นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่าเปียซซ่า ซานมาร์โค คือห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป เป็นจัตุรัสกลางเมืองเวนิสที่สวยงาม ในบริเวณจัตุรัสจะมีร้านค้าและร้านอาหารไว้คอยบริการมากมาย รอบๆจัตุรัสมีอาคารที่สำคัญคือ หอระฆัง หอนาฬิกา และโบสถ์ซานมาร์โค จัตุรัสซานมาร์โคได้รับการประกาศเป็น ห้องวาดภาพของโลก
มหาวิหารเซนต์มาร์ก (Basilica di San Marco หรือ Saint Mark’s Basilica)
โบสถ์สำคัญแห่งเมืองเวนิสที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ.823 ผสมผสานศิลปะของหลายยุคขึ้นไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ไบเซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค จนถึงเรอเนสซองซ์ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส ในฐานะนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ และถูกประหารชีวิตก่อนที่ชาวเวนิสจะไปนำำศพกลับมาเก็บไว้ที่โบสถ์แห่งนี้
หลังคาของมหาวิหารซานมาร์โกสร้างแบบโดมสุเหร่าของศาสนาอิสลาม โดมกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ประดับโมเสกสีทองอร่ามตั้งแต่หลังคาจรดพื้น จึงได้รับสมญานามว่า “Church of Gold” มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 จุดเด่นของโบสถ์ที่ซานมาร์โคอยู่ที่การมีโดมถึง 5 โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าได้รับการประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปปั้นม้าบรอนซ์ 4 ตัว ซึ่งว่ากันว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล
หอระฆังซานมาร์โก (อิตาลี: Campanile di San Marco, อังกฤษ: St
Mark's Campanile)
เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเมืองเวนิส
ตั้งอยู่ติดกับมหาวิหารเซนต์มาร์ก หอระฆังสูง 98.6 เมตร (323 ฟุต) ตั้งอยู่บนมุมของจตุรัสซานมาร์โก ใกล้กับด้านหน้ามหาวิหารซันมาร์โก
หอระฆังแห่งนี้สร้างด้วยอิฐแดงสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นชั้นๆ
เหนือขึ้นไปมีระเบียงล้อมรอบหอระฆัง ซึ่งประกอบด้วยระฆัง 5
ใบ
ส่วนบนของหอระฆังเป็นลูกบาศก์สี่เหลี่ยมที่มีรูปหน้าของสิงโตซานมาร์โก (Lion of Saint Mark) ประดับอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเวนิสและตัวแทนผู้หญิงของเมืองเวนิส หลังคาของหอระฆังถูกครอบด้วยยอดแหลมทรงพีระมิด และยอดบนสุดประดับด้วยกังหันอากาศ (weather vane) ในรูปแบบของอัครทูตสวรรค์กาเบรียล (archangel Gabriel) ถ้าขึ้นไปด้านบนจะมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของเมือง
อาคารดั้งเดิมเริ่มก่อสร้าง ค.ศ.1514 สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1902 กาลิเลโอ กาลิเลอี ได้สาธิตกล้องโทรทรรศน์แก่ดยุกแห่งเวนิสจากหอคอยแห่งนี้ในปี ค.ศ.1609 เดิมทีหอนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ช่วยเหลือนักเดินเรือในตอนกลางคืน แต่ในยุคกลางถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ค่าขึ้นชมคนละประมาณ 5 ยูโร
พระราชว้งดอจ (Palazzo Ducale)
รูปโฉมด้านนอกในปัจจุบันเป็นผลงานจากศตวรรษที่ 19 เป็นศิลปะแบบโกธิค ได้รับการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีชมพูจากเมืองเวโรน่า ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในจัตุรัสเซนต์มาร์ก
ชานมุขหลังคาโค้งและยอดแหลมที่มีลักษณะคล้ายป้อมปราการเหนือกำำแพงทำำให้ผู้ที่ล่องเรือมาเยือนเวนิส
รู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งและทรงอำำนาจของเมืองนี้
รู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งและทรงอำำนาจของเมืองนี้
Ponte deiia Paglia คือสะพานด้านหลัง เป็นมุมถ่ายรูปที่ทุกคนไม่ควรพลาด เพราะจะมองเห็นสะพานถอนหายใจได้ชัดที่สุด
สะพานถอนหายใจ(Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs)
สะพานถอนหายใจแห่งศตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำพาเลซ ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อระหว่างห้องสอบสวนของวังดยุกเข้ากับเรือนจำำซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง นอกจากประวัติศาสตร์ด้านมืดแล้ว อาคารหินปูนสีขาวแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่สุดโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในเวนิส สะพานสไตล์เรเนซองส์ รูปปั้นประดับสะพานซึ่งเป็นรูปใบหน้าที่มีทั้งความสุขและความเศร้า ชื่อของสะพานนี้ตั้งโดยลอร์ดไบรอน กวีแห่งศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตำำนานท้องถิ่น นักโทษที่เดินข้ามทางเดินปิดไปยังเรือนจำำมักจะถอนหายใจ เนื่องจากพวกเขาจะได้เห็นเมืองผ่านหน้าต่างของสะพานเป็นครั้งสุดท้าย การล่องเรือตามแม่น้ำไปยังสะพานก็เป็นที่มาของอีกทฤษฎีหนึ่งว่าทำไมสะพานจึงได้ชื่อนี้ เรื่องนี้กล่าวถึงคู่รักที่ล่องเรือกอนโดลายามพระอาทิตย์ตกและจุมพิตกันใต้สะพาน พวกเขาได้รับความรักและความสุขชั่วนิรันดร์ การถอนหายใจนี้เนื่องจากตื้นตันไปกับความโรแมนติก เดินกลับมาที่จตุรัสซานมาร์โก จะเห็นว่าเริ่มมีการเปิดไฟตามอาคารแล้วค่ะ
อาคาร Procuratie Vecchie (โปรกูราตีเอ เวคคีอา)และ Procuratie Nuove (โปรกูราตีเอ นูโอเว)
เป็นอาคารขนาบสองข้างของจตุรัส เคยเป็นวังเก่าของนโปเลียน
ปัจจุบันส่วนหนึ่งกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้จัดแสดงผลงานศิลปะ
พิธภัณฑ์กอร์เรร์ (The Museo Correr) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลัก
ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อจากโปรกูราตีเอ นูโอเวและโปรกูราตีเอ เวคคีอา
ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อจากโปรกูราตีเอ นูโอเวและโปรกูราตีเอ เวคคีอา
หอนาฬิกา-Clock tower (Torre dell’Orologio)
จะดังขึ้นทุกชั่วโมง
ระฆังนี้ตีโดยรูปปั้นทองสำำริดสองตัว สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1496-1506 เมื่อหันหน้าเข้าหา St.Mark Basilica จะอยู่ทางซ้ายมือ หอนาฬิกาประดับด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินและสีทองด้านล่างเป็นซุ้มทางเดินเมื่อเดินออกไปจะพบร้านค้ามากมาย
เดินเล่นจนมืดก็ได้เวลากลับแล้วค่ะ ระหว่างรอเรือมารับก็แวะซื้อของที่ระลึกบริเวณท่าเรือก่อนค่ะ
ลาก่อนเวนิส ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้ง
ขากลับก็จะได้เห็นอาคารและโรงแรมเปิดไฟสว่างไสวสวยงาม
เวลา 20:00 น.แวะทานอาหารเย็นที่เมสเตร้
เวลา 21:00 น.กลับที่พัก Best Western Plus Quid Hotel,Vanice Airport