เวลา 16:30 น.วันนี้เที่ยวกันตั้งแต่เช้าจนเย็น หมดแรงทุกคน. เดินทางกลับที่พักคืนนี้ค่ะ
เป็นรีสอร์ทที่ดูใหม่ สวยน่ารักมาก. ไม่ติดทะเล แต่ก็มีบรรยากาศและกลิ่นไอทะเล ทั่วๆรีสอร์ทค่ะ
เปิดประตูเข้าไป..... ห้องสวยมากๆๆๆ ทั้งใหม่ ใหญ่ กว้าง และสะอาด
ห้องปะการัง ห้องพักสไตล์โมเดิร์นสีขาวที่เรียงรายอยู่กลางบึง ให้กลิ่นไอของทะเลด้วยการออกแบบดีไซน์ห้องให้เป็นเหมือนระลอกคลื่นและการตกแต่งภายในที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังพักผ่อนอยู่ริมชายหาด
ทุกอย่างตกแต่งแบบทะเล(หอยเต็มห้องเลยค่ะ555)
ห้องน้ำสีสดใส. ตรงส่วนเปียกทำเป็นบันไดลงไป 2 ขั้น. ออกแบบเป็นอ่างอาบน้ำด้วยค่ะ
เปิดประตูออกไปที่ระเบียงก็พบกับวิวบึงน้ำและภูเขา
เปลี่ยนชุดไปว่ายน้ำกันดีกว่า. สระไม่ใหญ่แต่มีจากุชชี่เล็กๆด้วยนะคะ
ตอนนี้ 2พ่อลูก เป็นเจ้าของสระ. มีโลมาสีชมพูพ่นน้ำด้วย
18:00 น. ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปทานอาหารที่ครัวตังเกกันค่ะ
ร้านอาหารอยู่ริมคลองขนอม มีป่าโกงกางเป็นธรรมชาติสุดๆ ทางรีสอร์ทมีเรือนำเที่ยวบริการล่องเรือ
ชมทิวทัศน์คลองขนอมและ ชมหิ่งห้อย (แต่ตอนนี้ไม่มีหิ่งห้อยค่ะ)
ร้านอาหาร ครัวตังเก เป็นร้านอาหารชื่อดังแห่งเมืองขนอม พร้อมอาหารทะเลสดๆ
จากกิจการเรือประมง(เรือตังเก)ของทางร้านโดยตรง ทำให้อาหารทะเลสดใหม่เสมอ
แค่ 3 อย่างก็เต็มโต๊ะแล้วค่ะ จานใหญ่มากๆ. มื้อนี้เราทานทะเลครบทุกชนิด กุ้ง หมึก หอย ปลา ปู
ทานเสร็จเดินย่อยอาหารรอบรีสอร์ท 1 รอบ
กลับมาห้องพักยังมีแรงเหลือ. มะปรางวิ่งเล่นไล่จับกะคุณป๋ารอบห้องกันค่ะ(ห้องกว้างจริงๆ)
Relaxing time
วันพุธที่ 1 ม.ค. 2557
เวลา 7:00 น.ฝนตกรับปีใหม่แต่เช้า วันนี้ตื่นสายหน่อยค่ะ
พอฝนหยุดก็เดินออกกำลังกายรอบรีสอร์ทอีกครั้ง
ชอบรีสอร์ทนี้ค่ะ. เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด
ทานเสร็จก็เดินกลับที่พัก
ทางเดินน่ารัก
ครอบครัวเราชอบรีสอร์ทนี้ที่สุดค่ะ เงียบสงบ สะอาด สบาย อาหารอร่อย
เสียดาย.... พรุ่งนี้วันทำงาน ต้องเดินทางกลับกันแล้วค่ะ
|
ขับรถต่อยาวมาถึงอำเภอเมืองพัทลุง เข้าไปในเมืองแวะไหว้พระที่วัดคูหาสวรรรค์อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดพัทลุงประมาณ 800 เมตร
วัดคูหาสวรรค์ (พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ) เป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดพัทลุง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดพัทลุง
วัดคูหาสวรรค์ ตั้งอยู่เชิงเขาคูหาสวรรค์ใกล้ๆตัวตลาดพัทลุง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเชิงเขา
หัวแตก ต.คูหาสวรรค์ ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดคูหาสูง” หรือ “วัดสูง”
ขึ้นไปไหว้พระบนถ้ำกันค่ะ
ภายในถ้ำคูหาสวรรค์มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ 1 องค์ และพระพุทธรูปปูนปั้น ปั้นด้วยดินเหนียวเรียงแถวเป็นระเบียบทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก รวม 37 องค์
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่
ในอดีตพระมหากษัตริย์หลายพระองค์เคยเสด็จประพาสที่นี่
วัดวัง
อยู่ ต.ลำปำ ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4047ประมาณ 6 กม.(ทางเดียวกับเขาอกทะลุ)
เป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของ จ.พัทลุง เดิมเป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัย
กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต่อมาได้สร้างขึ้นใหม่โดยพระยาพัทลุง (ทองขาว) ในสมัยรัชกาลที่ 3
บริเวณระเบียงคดโดยรอบมีพระพุทธรูปปูนปั้น 108 องค์
สิ่งสำคัญของวัดวังคือ พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
หน้าต่างและประตู ดูแปลกตาดีค่ะ
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในสมัยรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อย้ายเมืองพัทลุงไปตั้งที่ตำบลคูหาสวรรค์ วัดวังก็ชำรุดทรุดโทรมลง และได้มีการบูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2512
ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีฝุ่น สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 กล่าวกันว่า
เป็นฝีมือช่างคณะเดียวกับที่เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและเทพชุมนุม
วังเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งอยู่ใกล้กับวัดวัง
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ – วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 9.00-12.00 น.
และ 13.00-16.00 น. เสียค่าเข้าชมคนไทย 5 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท
ปัจจุบันยังเหลืออยู่ส่วนหนึ่งคือ วังเก่า สร้างในสมัยพระยาพัทลุง (น้อย จันทโรจวงศ์) เป็นผู้ว่าราชการ
ต่อมาวังได้ตกทอดมาจนถึงนางประไพ มุตามะระ บุตรีของหลวงศรีวรฉัตร
ด้านหลังเป็นวังใหม่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2432 โดยพระยาอภัยบริรักษ์จักราวิชิตพิพิธภักดี (เนตร จันทโรจวงศ์) บุตรชายของพระยาพัทลุงซึ่งเป็นเจ้าเมืองพัทลุง
ปัจจุบันทายาทตระกูล “จันทโรจวงศ์” ได้มอบวังนี้ให้เป็นสมบัติของชาติและกรมศิลปากรได้ประกาศ
ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานวังเก่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2535
และวังใหม่ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2526
เดินไปด้านหลังสุดจนถึงริมน้ำ มีศาลานั่งเล่น และมีเรือพัทลุงจอดอยู่ค่ะ
วัดป่าลิไลยก์ ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ ๗ ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “วัดป่า”
เดิมวัดนี้เรียกว่า “วัดป่าชัน” “วัดป่าเรไร”และเปลี่ยนเป็น “วัดป่าลิไลยก์”
ตามทำเนียบวัดจังหวัดพัทลุงระบุว่าวัดนี้สร้าง เมื่อปี พ.ศ.2247
ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา
ในปัจจุบัน วัดนี้กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และได้รับการพัฒนาวัด
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพัทลุง
มีทางเดินไปในทะเลเพื่อไปไหว้พระที่ศาลากลางทะเล