เย็นนี้ต้องเดินทางกลับบ้านแล้วค่ะ แต่ยังมีเวลาขับรถเที่ยวในอัมพวาทั้งวัน
เวลา 9:00 น. วันอาทิตย์ ตลาดอัมพวายังเงียบสงบ
เดินสำรวจในรีสอร์ทจนทั่ว
พวกเราชอบรีสอร์ทนี้มากค่ะ วันหยุดถ้าใครมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาแนะนำให้พักที่นี่เลยค่ะ
อบอุ่นเหมือนเดินอยู่ในบ้าน ตอนเย็นก็ออกไปเดินเล่นในตลาดสะดวกมาก
เช็คเอ้าท์ แล้วไปไหว้พระกันค่ะ
1.วัดอัมพวันเจติยาราม
เป็นวัดของตระกูลราชินิกุลบางช้าง สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระรูป ศิริโสภาค มหานาคนารี พระชนนีของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ วัดนี้ก็เคยเป็นนิวาสสถานเก่าของหลวงยกกระบัตร และคุณนาค เชื่อกันว่าบริเวณพระปรางค์ของวัดอัมพวันฯ เดิมเป็นเรือนที่คุณนาค ใช้เป็นที่คลอดคุณฉิมบุตรชาย
ซึ่งต่อมาได้เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
วัดอัมพวันฯ ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันวัดอัมพวันเจติยารามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท พระอุโบสถตลอดจนถาวรวัตถุ ในวัดอัมพวันฯ นี้ ส่วนใหญ่เป็นศิลปะ และสถาปัตยกรรมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
องค์พระประทานและจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์งดงามมากค่ะ
ข้างๆวัดมีหมู่เรือนไทยโบราณและอุทยาน ร.2
อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เปิดให้เข้าชมทุกวัน
วันจันทร์-ศุกร์ เปิดเวลา 08.30 - 17.00 น.
วันเสาร์ - อาทิตย์ เปิดเวลา 08.30 - 17.30 น.
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 5 บาท
อุทยานแห่งนี้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานศิลปะอันงดงามไว้ เป็นมรดกแก่ชาติ
และได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
เหมือนของจริงมาก เห็นแล้วหิวเลยค่ะ
ตอนนี้จัดแสดงนิทรรศการ "เรือไทย..ศิลปะแห่งสายน้ำ"
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดป้ายอุทยานเมื่อ
วันที่ 31 มีนาคม 2522 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมภายในอุทยานได้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2530
อุทยานนี้มีขนาดกว้างขวาง พื้นที่ 10 กว่าไร่ พวกเราเดินชมไม่ไหวเพราะอากาศร้อนมาก
เลยเดินชมเฉพาะในเรือนไทยเท่านั้น ส่วนมากห้ามถ่ายภาพด้วยค่ะ
ลานจอดรถหน้าอุทยาน ปัจจุบันมีที่ขายสินค้าพื้นเมืองและผลไม้
2.วัดบางพรหม
วัดบางพรหม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง และปากคลองบางพรหม
เป็นวัดโบราณสร้างมากว่า 200 ปี พระประธานในอุโบสถ แกะสลักด้วยศิลาแดง ปางมารวิชัย สร้างมาพร้อมกับการสร้างวัด เป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทองงดงามมาก แต่วันนี้อุโบสถปิดค่ะ เลยไหว้พระข้างนอกกัน
3. วัดบางพลับ
เข้าเขต อ.บางคนที ติดถนนอัมพวา – บางคนที หรือถนนแม่กลอง – บางนกแขวก
เป็นวัดโบราณเก่าแก่วัดหนึ่งได้รับวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2250 มีความสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ของชาติไทย ครั้งสงครามกู้ชาติของพระเจ้าตากสินมหาราชที่ค่ายบางกุ้ง
เข้าเขต อ.บางคนที ติดถนนอัมพวา – บางคนที หรือถนนแม่กลอง – บางนกแขวก
เป็นวัดโบราณเก่าแก่วัดหนึ่งได้รับวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2250 มีความสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ของชาติไทย ครั้งสงครามกู้ชาติของพระเจ้าตากสินมหาราชที่ค่ายบางกุ้ง
วัดคาธอลิกแม่พระบังเกิด
ไปตามเส้นทางสายสมุทรสงคราม-บางนกแขวก เข้าไปประมาณ 5 กม.
อาสนวิหารแม่พระบังเกิดอยู่เลยแยกสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ไปประมาณ 100 เมตร
สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) โดยบาทหลวงเปาโลซัลมอน มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ได้รับทุน
สนับสนุนจากญาติพี่น้องของท่านในประเทศฝรั่งเศส คณะมิซซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส กรุงโรมและ
ผู้ใจบุญในกรุงเทพฯ ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896)
มีสนามเด็กเล่นอยู่ริมแม่น้ำ สวยงามและสะอาดมากค่ะ
อาสนวิหารพระแม่บังเกิดที่บางนกแขวกแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น
" โบสถ์ที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดของชาวคาธอลิกในประเทศไทย "
โบสถ์นี้เป็นสถานที่สักการะอันศักดิ์สิทธิ์ของคริสตชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนมาเยอะค่ะ
เปิดทำการ : ทุกวัน ยกเว้น วันจันทร์และอังคาร ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย
ภายในกว้างขวางและตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร มีรูปปั้น ธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป
ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีชนิด Stain Glass สวยงามจากฝรั่งเศส ในเรื่องราวของพระนางมารี
จากพระคัมภีร์ และภาพของนักบุญชายหญิงที่สวยงามมาก
ตัววิหารเป็นศิลปะแบบโกธิคที่สร้างด้วยอิฐเผา ผนังฉาบด้วยปูนตำกับน้ำเชื่อมประสานจากอ้อยใสสีดำ
เป็นโบสถ์ที่มองเห็นเด่นสง่าจากริมฝั่งแม่น้ำ
มายืนอ่านประวัติอาสนวิหารแม่พระบังเกิด มีประวัติยาวนาน เป็นร้อยกว่าปีเลยค่ะ
จากมุมนี้เหมือนเราไปยืนอยู่แถวยุโรปเลยค่ะ งดงามมาก
ออกเดินทางต่อ ข้ามสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ ไปอีกฝั่งแม่น้ำ
แวะทานอาหารเที่ยง ข้าวแห้งปลากระพง และสำหรับคุณป๋าเป็นข้าวแห้งหมูตุ๋นค่ะ...อร่อยและถูกมาก
4.วัดบางกุ้ง
อยู่ในเขตพื้นที่เดียวกับค่ายบางกุ้งแต่อยู่คนละฝั่งกันมีถนนตัดผ่านกลาง
| |
วัดบางกุ้งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา เคยเป็นที่ตั้งค่ายรบโบราณ พระเจ้าตากสินทรงโปรดให้ใช้ค่าย บางกุ้งเป็นที่รับศึกทัพพม่า ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ให้คนมาสักการะบูชาค่ะ |
ด้านในจำลองเป็นค่าย มีหุ่นทหารกำลังฝึกฝนการต่อสู้ การชกมวย (มีขนาดเท่าคนจริง)
สถานที่สำคัญในวัดคือ โบสถ์หลวงพ่อนิลมณี(หลวงพ่อดำ) เป็นโบสถ์ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้4 ชนิด
ประกอบด้วยต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง เป็นที่เรียกขานว่า”โบสถ์ปรกโพธิ์”
เป็นโบสถ์ที่มีอายุมากกว่า100 ปี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันมาดูความมหัศจรรย์
ทำให้วัดบางกุ้งแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand
มองจากช่องด้านข้างจะเห็นความงดงามของหลวงพ่อ
ช่องด้านขวา
เข้าไปในโบสถ์เราจะพบกับหลวงพ่อนิลมณี พระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปั้นปางมารวิชัย
สีทองอร่าม มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นที่เคารพบูชาของคนในท้องถิ่น
นอกจากนั้นยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาภาพเก่าสีจางมาก
แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม
และภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในซุ้มขนาบข้างด้วยอัครสาวกนั่งพนมมือ
ด้านหลังโบสถ์มีศาลนางไม้เจ้าจอม ซึ่งตำนานเล่าว่าท่านคือ เจ้าหญิงมณฑาทิพย์ เป็นหญิงเก่ง เข้มแข็ง ประมาณปลายกรุงศรีอยุธยา ท่านได้นำไพร่พลขับไล่พม่าที่ค่ายบางกุ้ง ท่านมีความผูกพันกับค่ายบางกุ้งและหลวงพ่อดำ จึงมีศาลท่านอยู่ด้านหลังของโบสถ์โดยมีไม้แกะเป็นรูปหญิงสาวสวยเป็นสัญญลักษณ์
ไม้ที่นำมาแกะเป็นไม้จากต้นโพธิ์อายุร่วมร้อยปี
เดินข้ามถนนไปค่ายบางกุ้งกันค่ะ
มะปรางขอเลี้ยงแพะก่อน. มีอยู่หลายตัวน่ารักดี
แล้วก็ไปเลี้ยงอูฐ กวาง กระต่าย นกยูง
ด้านในสุดใกล้แม่น้ำ มีพระพุทธรูป"สมเด็จองค์ปฐมบรมพุทธานุสรณ์" พร้อมคาถาพระเจ้าทันใจ
5.วัดบางแคน้อย
ทางวัดได้จัดสร้างบุษบงแท่นวัชรอาสน เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ
กุฎิ 140 ปี บนกุฎมีหลายสิ่งที่น่าสนใจได้แก่ พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ทรงกษัตริย์ หรือที่เรียกกันว่าพระพุทธรูปทรงเครื่อง พระพุทธรูปแกะสลักจากหินพระธาตุ หลวงพ่อมงคลรัตนมุนี หุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ทวด หุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
เป็นกุฎิไม้เก่าแก่ยังคงรูปแบบการสร้างไว้ได้อย่างดี มีการบูรณะดูแลจนมีสภาพที่ดีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
อุโบสถภายในไม้สักแกะสลัก
การแกะสลักที่ที่น่าสนใจ และหาดูได้ยาก เนื่องจากต้องใช้งบประมาณ เวลาและฝีมือการแกะสลัก
ที่ปราณีตบรรจง โดยใช้ช่างที่มีความชำนาญ
ด้านในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักสวยงามและแปลกตามากไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ
- ไม้มะค่าโมงซึ่งใช้เป็นแท่นรองพระประธานมีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 3 เมตร หนา 4 นิ้ว
- ชุกชีพระประธานเป็นไม้แกะสลักในทรงจอมแห
- พื้นอุโบสถปูด้วยไม้ตะเคียนทอง หนา 2 นิ้ว กว้าง 40-44 นิ้ว
- ฝาผนังพื้นเป็นไม้แกะสลัก หนา 3 นิ้ว แกะสลักเป็นรูปคน สัตว์ ต้นไม้ และแกะเสริม รวมหนาถึง 6 นิ้ว
- ฝาผนังด้านตรงข้ามพระประธานเป็นไม้แกะสลักรูปปางชนะมาร
- ฝาผนังด้านซ้าย ขวา ของพระประธานเป็นไม้แกะสลักรูปพระเจ้าสิบชาติ
- ฝาผนังด้านหลังพระประธานเป็นไม้แกะสลัก การประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน
- ฝาผนังใต้ธรณีหน้าต่าง 2 ข้าง แกะสลักฝังด้วยไม้โมกมันรูปพระเวสสันดร จั่วด้านหน้าและหลังเป็นไม้แกะสลัก ด้านข้างทั้งสองเป็นคูหาหลงรักปิดทอง คันทวยเป็นไม้ลงรักปิดทอง
เป็นอุโบสถที่มีความสวยงาม ช่างแกะสลัก เป็นช่างฝีมือจากเพชรบุรี ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านแกะสลักไม้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงถือว่าอุโบสถวัดบางแคน้อยเป็นศิลปะสถานที่มีคุณค่ามาก
บ้านแมวไทยโบราณ
ตั้งอยู่เลขที่ 2/1 หมู่ 7 ต.แควอ้อม อัมพวา
เป็นสถานที่อนุรักษ์พันธุ์แมวไทยโบราณ สายพันธุ์ไทยแท้ๆให้ลูกหลานชาวไทยได้ศึกษาและเรียนรู้
แมวไทยโบราณ มีหลายสายพันธุ์ ปัจจุบันแมวไทยพันธุ์โบราณแท้ๆนั้นสูญพันธุ์ไปแล้วถึง 13 ชนิด
เหลือให้ชมเพียง 5 ชนิดเท่านั้น ได้แก่
แมววิเชียรมาศ แมวโคราช แมวศุภลักษณ์ แมวโกญจาหรือแมวดำปลอด และ แมวขาวปลอด
แมวไทยพันธุ์ ขาวมณี หรือขาวปลอด
เป็นสายพันธุ์ที่พบเห็นได้มากสุดในปัจจุบัน เป็นแมวไทยโบราณที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในสมุดข่อย จึงเชื่อว่า
เป็นแมวที่เพิ่งกำเนิดในต้นยุครัตนโกสินทร์นี่เอง นิยมเลี้ยงไว้ในราชสำนักครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 แมวชนิดนี้เป็นที่โปรดปราณมาก ในต่างประเทศนิยมเลี้ยงกันเป็นคู่เพื่อให้ผลัดกันทำความสะอาดขน
เป็นแมวที่ค่อนข้างเชื่อง เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนได้เป็นอย่างดี
ลักษณะเด่นของขาวมณีคือสีขนและผิวกายขาวสะอาด ขนสั้น นุ่ม รูปร่างลำตัวยาวขาเรียว ทรงเพียวลม
หัวเป็นทรงสามเหลี่ยมคล้ายหัวใจ หน้าผากแบนใหญ่ หูขนาดใหญ่และตั้งตรงจมูกสั้น ดวงตาจะรีเล็กน้อยนัยน์ตาเป็นสีฟ้าหรือเหลืองอำพันสีใดสีหนึ่งเมื่อนำแมวขาวมณีตาสีฟ้า ผสมกับแมวขางมณีตาสี อำพัน
ลูกที่ออกมาจะมีตาสองสี คือ สีฟ้าข้างหนึ่งและสีเหลืองอำพันข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนด้อยในแมวขาวมณีแทบทุกตัวจะมีจุดด้อย เช่น ถ้ามีตาสองสีมักมีตาข้างหนึ่งที่ไม่ดี อาจมองเห็นไม่ชัดหรือมองไม่เห็นเลย ถ้าแมวตาสีฟ้ามักจะหูพิการ หรือไม่ได้ยินเสียงมากนัก และแมวตาสีเหลืองอำพันมักมีต่อมขนที่ไม่ดี
แมวไทยพันธุ์โกญจา
โกนจา หรือ โกญจา (แปลตรงตัวแปลว่า นกกระเรียน) แมวชนิดนี้เป็นแมวสีดำสนิทตลอดทั้งตัว ขนสั้น
ไม่มีสีอื่นใดปะปนเลยแม้แต่น้อย ขนเส้นเล็กละเอียดนุ่มและเรียบตรงทั้งลำตัว ส่วนหัวกลมแต่ไม่โต มีปากเรียวแหลม หูตั้ง นัยตาเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือทองอ่อน รูปร่างสะโอดสะองคล่องแคล่ว หางยาว
ปลายหางแหลมตรง อุ้งเท้าทอดคล้ายเท้าสิงห์ มีความสง่างามขณะเคลื่อนไหว
แมวโคราช หรือ แมวมาเลศ
ต้นกำเนิดพบที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนามว่าโคราช มีหลักฐานบันทึกเกี่ยวกับแมวโคราชในสมุดข่อยที่เขียนขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1350-1767 หรือประมาณ พ.ศ. 1893-2310
แมวเพศผู้มีสีเหมือนดอกเลา จึงเรียก แมวสีดอกเลา โดยจะต้องมีขนเรียบ ที่โคนขนจะมีสีขุ่น ๆ เทา
ในขณะที่ส่วนปลายมีสีเงิน เป็นประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว หรือเหมือนคนผมหงอก
ชื่อแมวโคราช เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยใช้แหล่ง
กำเนิดของแมวเป็นชื่อเรียกพันธุ์แมว แต่คนไทยบางกลุ่มจะเรียกแมวโคราชว่า แมวสีสวาดปัจจุบันได้มีการผลักดันให้แมวโคราชขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ประจำชาติไทย ในปี พ.ศ. 2552
แมววิเชียรมาศ
ตรงกับความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว" ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "วิเชียร"
ในแมววิเชียรมาศนี้แต้มตามตำราว่าไว้ว่าต้องเป็นสีดำดังหมึกวาด แต่ปัจจุบันเมื่อดูให้ดีแล้วจะเป็นแต้มสี
น้ำตาลเข้มเกือบดำ ไม่ได้ดำสนิท หรือที่ต่างประเทศเรียกว่า Seal brown หรือแต้มสีครั่ง แมววิเชียรมาศ
เป็นที่รู้จักในต่างประเทศโดยใช้ชื่อว่า แมวสยาม (Siamese Cat) แต่ต่างประเทศจะมีแต้มสีอื่นที่หลาก
หลายกว่า ซึ่งในบ้านเราจะยอมรับเฉพาะแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น นัยน์ตาสีฟ้าก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของแมวชนิดนี้
แมวศุภลักษณ์
"ศุภลักษณ์" ที่แปลว่าลักษณะที่ดี เรียกอีกชื่อว่า แมวทองแดง มีสีทองแดงหรือน้ำตาลแดงเข้มทั่วตัว
มีรูปร่างขนาดกลาง สง่า ขายาวเรียวฝ่าเท้าอวบ ศีรษะค่อนข้างกลมกว้าง ด้วยสีขนออก น้ำตาลเข้ม
เหมือนกับสีของทองแดง มีตาสีออกเหลือง หรือ สีอำพัน หนวดมีสีเหมือนลวดทองแดง และบริเวณตาม
ส่วนของร่างกาย เช่นหน้า หู ปลายขา และ หางจะมีสีน้ำตาลเข้มกว่าบริเวณลำตัวทั่วๆไป มีสีสันสะดุดตา
ว่ากันว่าแมวชนิดนี้เป็นแมวที่ได้ติดตามเจ้าของที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่พม่า
เมื่อความนิยมได้แพร่หลายมากขึ้น ชาวต่างชาติจึงได้นำไปจดทะเบียนเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งของโลก
โดยใช้ชื่อว่า Burmese แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองไทย
แมวศุภลักษณ์ เป็นแมวที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็น ชอบผจญภัย รักอิสระเสรีชอบสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว กับคนแปลกหน้าแล้วมันดูจะเป็นแมวที่ร้ายพอสมควร ผู้ใดเลี้ยงไว้มีแต่จะเพิ่มยศยิ่งขึ้นไป
รอบๆมีคำบรรยายพร้อมรูปแมวให้อ่านด้วยค่ะ
นอกจากจะมีแมวไทยให้ชมแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่เพาะพันธุ์จำหน่ายแมวอีกด้วย
ลูกแมวทุกตัวมีวันเกิดติดไว้ที่กรงด้วยค่ะ เชื่องและน่ารักทุกตัวเลย
6.วัดภุมรินทร์กุฎีทอง
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์คือมีกุฎีทองขนาดใหญ่สร้างโดยสมเด็จพระชนกนาถของ
สมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระอัครมเหสีในรัชกาล ที่ ๑ เพื่อถวายเจ้าอาวาสวัดบางลี่บน
ต่อมาบริเวณที่ปลูก กุฎีทองถูกน้ำเสาะจนตลิ่งพังจึงต้องย้ายกุฎีทองมาไว้ที่วัด ภุมรินทร์
หลังจากย้ายกุฎีทองจากวัดบางลี่บนมา ไว้ที่วัดนี้จึงเรียกชื่อรวมกันว่า “วัดภุมรินทร์กุฎีทอง”
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์คือมีกุฎีทองขนาดใหญ่สร้างโดยสมเด็จพระชนกนาถของ
สมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระอัครมเหสีในรัชกาล ที่ ๑ เพื่อถวายเจ้าอาวาสวัดบางลี่บน
ต่อมาบริเวณที่ปลูก กุฎีทองถูกน้ำเสาะจนตลิ่งพังจึงต้องย้ายกุฎีทองมาไว้ที่วัด ภุมรินทร์
หลังจากย้ายกุฎีทองจากวัดบางลี่บนมา ไว้ที่วัดนี้จึงเรียกชื่อรวมกันว่า “วัดภุมรินทร์กุฎีทอง”
ด้านหลังวัดอยู่ติดแม่น้ำ
เข้าไปไหว้พระในโบสถ์กันค่ะ
ปิดทองและทำบุญ
ใต้เรือนไทยมีเรือแจวตั้งโชว์อยู่หลายลำเลยค่ะ
พายเรือบนบก
7.วัดบางกะพ้อม
วิหารหลวงพ่อคง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อคง อตีดเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อม
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งจังหวัดสมุทรสงคราม
วิหารหลวงพ่อดำ
ตอนนั่งเรือไหว้พระ. เราจะพบองค์หลวงพ่อคงขนาดใหญ่ เด่นชัด หันหน้าออกสู่แม่น้ำ
วันนี้ไหว้พระได้แค่ 7 วัด ก็หมดเวลาต้องเดินทางกลับบ้านแล้วค่ะ. วันหลังเราจะมาอัมพวากันใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น