วันที่ 19 มีนาคม 2554 เวลา 9:00น.
ออกเดินทางไปฟาร์มโชคชัย ไม่ไกลจากที่พักนัก ประมาณ 30 กม. ขับรถสบาย ก็จะพบป้ายใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ เลี้ยวรถเข้าไปจอด จะเห็นว่าคนเยอะมากเพราะเป็นวันเสาร์ช่วงปิดเทอมด้วย
คุณป๋าจองตั๋วทางอินเตอร์เน็ตไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าซัก 3-4 วัน จะได้ไม่วุ่นวายเวลาโอนเงิน และแนะนำให้จองก่อนรอบ11โมง เพราะจะได้ดูโชว์สุนัขเลี้ยงแกะต้อนฝูงแกะ...
แต่ถ้าจองหลัง 11 โมงเป็นต้นไปจะได้ดูการรีดน้ำเชื้อวัวแทน
คุณป๋าเอา ใบจองไปรับตั๋วเรียบร้อย รอเวลา.... รอบของเรา 10:30น.
“ฟาร์มโชคชัย” ที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าเป็นฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดแห่งเอเชีย
ถึงเวลารอบของเราแล้ว เค้าก็จะแจกกระเป๋าห้อยคอคนละใบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม"ช้างแดง" คือชื่อของกลุ่มเรา แล้วก็ไปนั่งดูวีดีโอเรื่องประวัติของฟาร์มโชคชัย ประมาณ15นาที แล้วก็เข้าไปในฟาร์มกันค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปในฟาร์มต้องผ่านบ่อล้าง (รองเท้า) และอ่างจุ่มมือฆ่าเชื้อกันเสียก่อนเพราะที่นี่เขารักษาอนามัยความสะอาดกันมาก
ที่แรกที่คาวเกิร์ลพาเราไปชม คือ พิพิธภัณฑ์เครื่องจักรเก่าที่จัดแสดงเครื่องจักรยุคบุกเบิกของฟาร์ม ทั้งรถแทรคเตอร์คันแรกที่ซื้อมาพร้อมกับที่ดินผืนแรกของฟาร์มและรถคันอื่นๆ ที่แต่ละคันล้วนเก่าแก่และทรงคุณค่าทั้งนั้น
ไปดูวิธีการรีดนมวัวกันที่ "โรงรีดนม"
ใช้วิธีการรีดนมด้วยเครื่องระบบ Pipeline ทำให้น้ำนมสะอาดปลอดภัยไร้สารเจือปน แล้วน้ำนมดิบที่รีดได้จะถูกส่งผ่านไปยังศูนย์รับน้ำนมดิบ เพื่อลดอุณหภูมิจาก 37 องศา มาเป็น 4 องศา แล้วเก็บในถังรักษาความเย็น
ไกด์บอกว่าปกติเกษตรกรทั่วไปจะรีดนมวันละ 2 เวลา แต่ที่นี่จะรีดถึงวันละ 3 เวลา
มีการสาธิตวิธีการรีดนมด้วยมือ แล้วให้อาสาสมัครเข้าไปลองรีดนม 4 คน
จากนั้นไปดู "โรงงานผลิตนม" ซึ่งทางฟาร์มโชคชัยนำน้ำนมดิบที่ได้มาผลิตเป็นนมพาสเจอร์ไรส์ โยเกิร์ต และไอศกรีม แล้วเราก็ได้ลิ้มลองไอศกรีม(...ถ้วยเล็กมากๆ...)ทำจากนมสดและครีมสด รสชาติอร่อย เข้มข้นดี
หลังจากที่ไกด์พาเราเดินชมกันจนเมื่อยและร้อน ก็พาเราขึ้นขบวนรถฟาร์มแทรคเตอร์ เพื่อเข้าไปชมด้านใน
ที่แรกที่ขบวนรถแล่นผ่านคือ คอกพักโค การเลี้ยงโคของที่นี่เขาจะใช้วิธีเลี้ยงแบบขังคอกกับปล่อยแปลง และคอกพักโคที่เราเห็นนั้นเป็นแบบขังคอก สำหรับโครุ่นและโคสาว มีการจ่ายอาหารในรางอาหารให้โคได้กินอย่างสบายไม่ต้องไปเดินเล็มหญ้า
แล้วขบวนรถก็แล่นผ่าน ทุ่งหญ้า-ทุ่งข้าวโพด ที่ปลูกไว้สำหรับเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารสัตว์ และผ่านบ่อหญ้าหมัก ที่ใช้เป็นอาหารหยาบให้โคยามขาดแคลนหญ้าสด
จากนั้นรถมาหยุดที่จุดแสดงโชว์
และยังมีโชว์อื่นๆเช่น การหวดแส้ การควงปืน
ลานจำลองเมืองคาวบอย เหมือนในฉากหนังเลยค่ะ
มุมขายของที่ระลึก
ข้อควรปฏิบัติของคาวบอย
มีให้ลองขับ-ขี่รถ ATV ด้วย
แดดไม่จัดแต่อากาศอบอ้าวมากๆเลย
เราก็ต้องกลับขึ้นรถกันเพื่อเดินทางต่อไป แล้วรถก็แล่นผ่านโรงเก็บหญ้าแห้ง คอกเลี้ยงลูกโค สนามฝึกม้า โดยเฉพาะไฮไล้ท์คือเป็นความสามารถของสุนัขที่โชว์ลีลาในการต้อนแกะให้ดูกัน นั่งดูบนรถกัน ไกด์บอกว่าเจ้าสุนัขตัวนี้มาจากเมืองนอกราคาก็6หลักเชียวนะ เลยให้โชว์บ่อยๆไม่ได้(คงกลัวมันเหนื่อยหน่ะ)
แล้วรถก็มาจอดยังที่สุดท้าย คือ "ฟาร์มสวนสัตว์" มีการจัดแสดงความสามารถของสัตว์แสนรู้
มีทั้งนกพีลีแกน,ลิง
นกแก้ว
แพะ
สุนัขกระโดดห่วง-ลอดเสา
สุนัขป้อนนมลูกโค
ด้านในยังมีสวนสัตว์ที่ให้เราได้ซื้ออาหารไปป้อนสัตว์ด้วยตนเอง
กวาง-กระต่าย
มีอูฐด้วยค่ะ
ที่ป้อนอาหารแกะ
ไปป้อนนมลูกโคได้ค่ะ..แต่ละตัวน้ำลายยืดๆๆๆ
ข้างหน้าเป็นม้าแคระไว้ให้เด็กๆขี่ค่ะ
ได้เวลากลับกันแล้วค่ะ
ออกจากฟาร์มโชคชัยก็เดินทางต่อไปปทุมธานี
ประมาณ 4โมงเย็น ก็ถึงโรงแรมที่หมายตาไว้เป็นโรงแรมเล็กๆอยู่ชานเมืองปทุมธานีชื่อ ดาร์ลิ่งอินน์
สะอาดและถูกมาก โทรทัศน์ชัดดี
น่าจะเป็นวัดเก่าแก่ เพราะดูจากศาลาวัดเป็นไม้ทั้งหลัง
เห็นมีคนเดินเข้าไปที่ริมน้ำมากพวกเราเลยเดินตามไปได้เจอของดี.. เป็นวังปลาขนาดใหญ่
มะปรางปกติชอบให้อาหารปลา..พอเห็นปลามากขนาดนี้ยังดูกลัวๆเสียวๆเลย บอกว่าถ้าตกลงไป..
คงขึ้นมาไม่ได้แน่ๆเลย
คงขึ้นมาไม่ได้แน่ๆเลย
นั่งให้อาหารปลาอยู่ร่วม ชม.ก็ไปทานอาหารเย็นดีกว่า
ร้านอาหารของเย็นนี้ชื่อ"บ้านเหนือน้ำ" เป็นร้านดังของเมืองปทุมค่ะ
บรรยากาศของร้านโปร่งโล่งสบาย
สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ7-8อย่าง ทานกันเรียบ(แม่ตุ๊กไม่ได้เก็บรูปมาค่ะ..หิวจัด) อาหารอร่อยทุกอย่าง
ให้เด็กๆไปเล่นกัน2คน..มะปรางกะน้องชัญญ่า
ส่วนห้องน้ำชายเป็นกระถางต้นไม้คลุมๆอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น